บทความทั้งหมด

1,195 รายการ

รวบสุเมธนักย่องเบาปีนบ้านลักทรัพย์ อ้างนำเงินใช้เพื่อติดตามภรรยา ตามนโยบายของ พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ รรท.ผบ.ตร. ,พล.ต.อ.ธนา ชูวงศ์ รอง ผบ.ตร. ,พล.ต.ท.สำราญ นวลมา ผู้ช่วย ผบ.ตร. , พล.ต.ท.ธิติ แสงสว่าง ผบช.น. ให้ปราบปรามกลุ่มเครือข่ายองค์กรอาชญากรรมที่กระทำความผิดทุกรูปแบบซึ่งสร้างความเดือดร้อนให้กับประชาชนผู้สุจริต สืบนครบาลได้รับการร้องเรียนขอความช่วยเหลือว่าได้โจรเข้ามาลักทรัพย์สินมีค้าภายในบ้าน ได้ทรัพย์ไปจำนวนมาก ต่อมาได้ลงพื้นที่ทำการสืบสวนร่วมกับสืบสวน สน.ดอนเมือง ไล่กล้องวงจรปิด รวบรวมพยานหลักฐานจนสามารถออกหมายผู้ก่อเหตุได้             เมื่อวันที่ 29 พฤษภาคม 2567   พล.ต.ท.ธิติ แสงสว่าง ผบช.น. พล.ต.ต.นพศิลป์ พูลสวัสดิ์ รอง ผบช.น.   พล.ต.ต.ธีรเดช ธรรมสุธีร์ ผบก.สส.บช.น.  ,พ.ต.อ.เกียรติศักดิ์   สระทองออย  รอง ผบก สส.ฯ , พ.ต.อ.วิชิต  ถิรขจรวงศ์ ผกก.สส.1ฯ, พ.ต.ท.พีรบูรณ์ แก้วดู รอง ผกก.สส.1ฯ ,พ.ต.ท.เอกศิษฐ์ วรกิตติ์ฐากรณ์  รอง ผกก.สส.1ฯ ได้สั่งการให้ พ.ต.ท.พัฒน์พงษ์ กื้อมะโน สว.กก.สส.1ฯ พร้อมชุดปฎิบัติการที่ 2 เจ้าหน้าที่ตำรวจ กก.สส.1 สืบนครบาล ร่วมกับ พ.ต.อ.สุกฤต มังคละสวัสดิ์ ผกก.สน.ดอนเมือง พร้อมฝ่ายสืบสวน สน.ดอนเมือง จับกุมตัว           นายสุเมธ อายุ 44 ปีภูมิลำเนา ตำบลปากเกร็ด อำเภอปากเกร็ด จังหวัดนนทบุรีตามหมายจับศาลอาญา ที่ 2432/2567 ลงวันที่ 24 พฤษภาคม 2567         ซึ่งต้องหาว่ากระทำความผิดฐาน “ลักทรัพย์ในเคหะสถานโดยทำอันตรายสิ่งกีดกั้นสำหรับคุ้มครองบุคคลหรือทรัพย์สินหรือผ่านสิ่งเช่นว่านั้นไปด้วยประการใดๆ”         โดยจับกุมได้ที่บริเวณหน้าห้องภายในคอนโด แขวงสีกัน เขตดอนเมือง กรุงเทพมหานคร           พฤติการณ์กล่าวคือเมื่อวันที่ 4 พ.ค. 2567 เวลาประมาณ 15.00 น. มีคนร้ายแอบเข้ามาลักทรัพย์สินภายในบ้านผู้เสียหาย ได้ทรัพย์สินได้แก่ สร้อยคอทองคำลายสมัยสุโขทัย น้ำหนัก 5 บาท พระเครื่องจำนวนหลายรายการและธนบัตรเก่าสะสมจำนวนนึง  ที่เกิดเหตุ แขวงทุ่งสีกัน เขตดอนเมือง กรุงเทพมหานคร ทรัพย์ที่ลักไป ต่อมา สืบสวน สน.ดอนเมือง ร่วมกับ สืบนครบาล ได้ลงพื้นที่ทำการสืบสวน และรวบรวมพยานหลักฐาน ต่อมาศาลอาญาได้ออกหมายจับนายสุเมธ  ปรากฏตามภาพวงจรปิด      จากการตรวจสอบประวัติอาชญากร พบว่า      เมื่อวันที่ 21 ธ.ค. 2560 เคยก่อเหตุ ลักทรัพย์ในเคหสถาน สถานที่ราชการ (ที่พักสวัสดิการกองบัญชาการกองทัพไทย)         ผู้ต้องหาให้การรับว่าได้ออกตระเวนลงมือเข้าลักทรัพย์บ้านผู้อื่น โดยปัจจุบันตนตกงาน ประกอบกับภรรยาได้ตีตัวออกห่างและทิ้งตนไป เงินที่ได้จากการขายทรัพย์สินที่ขโมยมาจะนำไปใช้ส่วนตัวและติดตามภรรยา กลับมาคืนดี          พล.ต.ต.ธีรเดช ธรรมสุธีร์ ผบก.สส.บช.น.  กล่าวว่า คนร้ายมีวิธีการกระผิด โดยอาศัยช่วงเวลากลางวัน ขณะที่เจ้าของทำงาน และไม่อยู่บ้าน ใช้โอกาสในการลักทรัพย์  การติดตั้งกล้องวงจรปิดภายในบ้านส่วนตัว ควรมีกล้องหันออกมาในพื้นที่สาธารณะ หรือพื้นที่ส่วนร่วมนอกจากเป็นประโยชน์ต่อท่านแล้ว  ยังได้ช่วยดูแลพื้นที่ส่วนร่วม ตลอดจนเจ้าหน้าที่ตำรวจในการจับกุมคนร้ายง่ายขึ้นอีกด้วย

"สนธิญา" ร้อง บชน. ตรวจสอบข้อเท็จจริงในงานเสวนา กรณีการจับเด็กเข้าคุก ผิด ม.112 ที่พูดผ่านสื่อสารออนไลน์ มีข้อความที่เป็นความจริง และ  เข้าข่ายผิด กม. หรือไม่ วันนี้ (30 พ.ค.) เมื่อเวลา 10.30 น. ที่ กองบัญชาการตำรวจนครบาล หรือ บชน. นายสนธิญา สวัสดี ที่ปรึกษาประธานคณะกรรมาธิการการกฎหมายการยุติธรรมและสิทธิมนุษยชนสภาผู้แทนราษฎร ได้เดินทางมาเข้ายื่นหนังสือร้องเรียนถึง พล.ต.ท.ธิติ แสงสว่าง ผู้บัญชาการตำรวจนครบาล (ผบช.น.) เพื่อให้ตรวจสอบข้อเท็จจริงในงานเสวนา กรณีการจับเด็กเข้าคุก ผิด ม.112 จนมีสื่อออนไลน์นำไปลงข่าว จนเป็นกระแสวิพากษ์วิจารณ์ ในคำพูดที่ว่า "สนุกมากหรือที่เห็นเด็กเข้าคุก สนุกมากหรือที่เห็นเด็กทรมาน และไม่ได้ประกันตัว ทำได้อย่างไร ไม่ละอายใจตัวเองบ้างหรือ จับเด็กเข้าคุกเป็นว่าเล่น" ว่ามีข้อความที่เป็นความจริง และเข้าข่ายผิดกฎหมาย หรือไม่ อย่างไร นาย สนธิญา กล่าวว่า วันนี้ได้ ยื่นหลักฐานเป็นเอกสาร พร้อมคลิปวิดีโอคำพูด ของอดีตนายกรัฐมนตรี โดยไม่ได้มีการแจ้งความ แต่ต้องการให้ทางตำรวจนครบาลตรวจสอบคำพูดดังกล่าว จากสถานการณณ์การเมืองในปัจจุบันมีความละเอียด ซึ่งก่อนหน้านี้มีการตัดสินคดีที่เกี่ยวข้องกับ มาตรา 112 อยู่หลายคดี ทั้งคดีของพรรคก้าวไกลและคดีของนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี การที่บุคคลสำคัญของประเทศจะพูดถึงกรณีดังกล่าวย่อมเป็นที่สนใจของสังคม ไม่อยากให้เป็นการ ราดน้ำมันเข้ากองไฟและควรพูดแต่ข้อมูลที่เป็นจริง การพูดดังกล่าวจะผิดกฏหมายมาตราไหนนั้น รับเป็นคำพูดที่ถูกต้องอย่างไร จากนี้จะเป็นหน้าที่ของตำรวจนครบาล ที่จะมีการดำเนินการกับกรณีดังกล่าว  ต่อไป

แม่เลี้ยงเดี่ยว ขับวินเลี้ยงลูกออทิสติก สุดซึ้งใจ! หลังหลายหน่วยงาน ยื่นมือเข้าช่วยเหลือลูกสาว ‘น้องสปาย’เผยมองเห็นอนาคตลูกมากขึ้น จากกรณีผู้ใช้เฟซบุ๊กรายหนึ่ง โพสต์ภาพ พร้อมระบุข้อความว่า ”ใครมีเตียงนอนสำหรับคนเดียว ขอรับบริจาคให้ลูกสาวด้วยค่ะ น้องป่วยแผลติดเชื้อแบคทีเรีย“ โดยหลังจากโซเชี่ยลแห่แชร์โพสต์ดังกล่าว ได้มีหลายหน่วยงานลงพื้นที่ให้ความช่วยเหลือ พาน้องสปายไปรักษาแผลสะเก็ดเงินจนอาการดีขึ้น      ล่าสุดเมื่อวันที่ 17 พ.ค. 67 ดร.ชัยเมศร์ ชัยพัชรกุลพงษ์ หรือดร.แก้ว ประธานคณะกรรมการตรวจสอบและติดตามบริหารงานตำรวจ (กต.ตร.) จังหวัดนนทบุรี ได้เดินทางไปที่บริเวณชุมชนเตาอิฐ ภายในซ.วัดกู้ ต.บางพูด อ.ปากเกร็ด จ.นนทบุรี เพื่อให้กำลังใจ น.ส.บุญเรือง ชินเพ็ง อายุ 45 ปี และ น.ส.ปิยธิดา ครองยุทธ หรือน้องสปาย อายุ 15 ปี ลูกสาวเป็นเด็กออทิสติก และป่วยเป็นโรคสะเก็ดเงิน ลามเป็นแผลทั้งตัว ถูกพันด้วยผ้าก็อซปิดแผล โดยน้องสปายได้ขอดื่มน้ำอัดลม มีท่าทางยิ้มแย้มและดีใจ พร้อมบอกว่าสู้ๆ ไม่งอแงเหมือนหลายวันที่ผ่านมา      ดร.แก้ว กล่าวว่า ตนได้รับการร้องเรียนจากคุณแม่ว่าลูกสาววัย 15 ปี ที่เป็นออทิสติกและป่วยเป็นโรคสะเก็ดเงิน อยู่อย่างลำบากมาก วันนี้ได้ลงพื้นที่มาพบว่ามีหลายหน่วยงานทยอยเข้ามาช่วยเหลือ ต่อจากนี้จะประสานพม.จังหวัด และทางเทศบาลนครปากเกร็ด ให้เข้ามาช่วยดูแลเรื่องสวัสดิการ ส่วนเรื่องการศึกษาของน้องปายจะช่วยให้ทีมงานหาโรงเรียนในเขตพื้นที่ใกล้เคียงเพื่อให้น้องได้รับการศึกษา และคุณแม่จะได้ทำมาหากินได้อย่างสะดวก วันนี้ตนได้มอบเงินเพื่อช่วยเหลือคุณแม่และน้องสปายเบื้องต้นจำนวนหนึ่ง      ด้านน.ส.บุญเรือง คุณแม่น้องสปาย กล่าวว่า ตนรู้สึกดีใจและอุ่นใจขึ้นเยอะ พอมองเห็นอนาคตมากขึ้น ดีใจที่หลายหน่วยงานเข้ามาช่วยเหลือ รวมถึงขอบคุณดร.แก้ว ที่เมตตาตนกับน้องสปายด้วย       เบื้องต้น ดร.แก้วได้มอบเงินช่วยเหลือจำนวนหนึ่ง และจะประสานเรื่องเรียนของน้องสปายเพื่อให้คุณแม่ของน้องสามารถทำงานหาเงินเพื่อเลี้ยงดูครอบครัวได้ และสำหรับท่านที่มีจิตเมตตา สามารถร่วมบริจาคผ่านบัญชีธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร ชื่อบัญชี น.ส.บุญเรือง ชินเพ็ง เพื่อด.ญ.ปิยธิดา ครองยุทธ เลขที่บัญชี 010-22-26016-7-0

’ลัทธิเชื่อมจิต’ โดน!! ทนายอนันต์ชัย บุกกระทรวงพม. ยื่นเอาผิด’พ่อ-แม่’เตรียมร้องเรียนศาลเยาวชนฯ เชือดผู้ปกครอง ใช้เด็กเป็นเครื่องมือทนายอนันต์ชัย ไชยเดช ประธานมูลนิธิทนายกองทัพธรรม ได้เดินทางมายัง กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) ได้มายื่นหนังสือร้องเรียนถึง นายวราวุธ ศิลปอาชา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ โดยมีนายธเนศพล ธนบุณยวัฒน์ เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวง พม. เป็นผู้รับแทน โดยขอให้ตรวจสอบ นายพิชญะ ศูนยะคณิต และ นางสาวนัฐพร วงศ์ทวิชาติ กับพวก ผิดพระราชบัญญัติคุ้มครองเด็ก พ.ศ.2546      โดยทนายอนันต์ชัย ระบุว่า พม.สุราษฎร์ธานี ได้มีการดำเนินการเรื่องน้องไนซ์มาตั้งแต่เดือนกันยายน 2566 แต่ไม่ได้รับความร่วมมือกับผู้ปกครองและกลุ่มแอดมิน ที่คอยขัดขวางตลอดเวลา / และเมื่อวานทางแม่ของน้องไนซ์ได้มีการแจ้งความดำเนินคดีกับเจ้าหน้าที่ พม.สุราษฎร์ธานี ฐานผิดตาม ม.157 ทางมูลนิธิทนายกองทัพธรรมยินดีจะซัพพอร์ตข้อเท็จจริง ข้อกฎหมายให้กับทาง พม.สุราษฎร์ธานี และอยากให้กำลังใจเจ้าหน้าที่ว่า ท่านไม่ได้โดดเดี่ยว ทางกองทัพธรรมยินดีให้การช่วยเหลือ ส่วนเรื่อง ม.157 ทางเรามีทีมนักกฎหมายที่เชี่ยวชาญเรื่องนี้เยอะ พร้อมจะช่วยเหลือ       นอกจากนี้ทนายอนันต์ชัย ยังระบุอีกว่า การที่น้องไนซ์อ้างตนเป็นผู้รู้ธรรม อ้างว่ารู้เรื่องพระไตรปิฎก อ้างว่าเป็นลูกพระพุทธเจ้า ลูกบุญธรรมแม่กวนอิม องค์เพชรภัทรนาคานาคราช อนาคามี และได้มาสอนธรรมรับคำสั่งจากองค์ศากยมุนี ซึ่งทางสำนักพุทธฯเองก็ได้ออกมาบอกแล้วว่าไม่มีการเชื่อมจิตจริงๆ       ส่วนคดีที่ไปยื่นร้องไว้ที่กองบังคับการปราบปราม ตอนนี้ได้รับเป็นคดีแล้ว ซึ่งตนมีข้อมูลค่อนข้างเยอะเกี่ยวกับข้อกฎหมาย วันนี้ที่มายื่นให้กับ พม. เป็นเรื่องของ พ.ร.บ.เด็ก ม.27 ห้ามเอาเด็กมาโฆษณาหาผลประโยชน์ ซึ่งมีการเอาน้องไนซ์มาโฆษณาตั้งแต่ปี 2564 ผ่านทางเพจเฟซบุ๊ค และทางติ๊กตอก / ต่อมามีการทำให้เด็กกลายเป็นคนพิเศษ มีการเชื่อมจิต อาจจะเข้าความผิด ม.25-26 ด้วย ในเรื่องของการทรมานเด็ก ทั้งนี้อยากให้ พม. ตรวจสอบอย่างละเอียด ถ้าพบความผิดจริงก็ให้ดำเนินการตามกฎหมาย      ทางด้านนายธเนศพล เลขาธิการ พม. ระบุว่า  สำหรับเรื่องของน้องไนซ์ ตอนนี้น้องอายุเพียง 8 ขวบ ถือว่ายังคงอยู่ใน พ.ร.บ.คุ้มครองเด็ก และได้มีการยื่นศาลศาลเยาวชนและครอบครัวกลางแล้ว เป็นการร้องขอให้ศาลสั่งยุติการเอาน้องไนซ์ไปทำประโยชน์ และขอหารือร่วมกับครอบครัวน้องไนซ์ว่าต้องอบรมสั่งสอน และการเลี้ยงดูภายใต้ พ.ร.บ.คุ้มครองเด็ก

สืบนครบาลจับกุมหนุ่มตามง้ออดีตแฟนแบบวิธีการผิด ทำร้ายร่างกาย ขี่รถจยย.ชน ตามนโยบายของ พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ รรท.ผบ.ตร. , พล.ต.อ.ธนา ชูวงศ์ รอง ผบ.ตร. , พล.ต.ท.สำราญ นวลมา ผู้ช่วย ผบ.ตร. ,พล.ต.ท.ธิติ แสงสว่าง ผบช.น. ให้ปราบปรามกลุ่มเครือข่ายองค์กรอาชญากรรมที่กระทำความผิดทุกรูปแบบซึ่งสร้างความเดือดร้อนให้กับประชาชนผู้สุจริตจำนวนมาก โดย ชุดลาดตระเวนออนไลน์ บก.สส.บช.น. ได้รับการร้องเรียนผ่านเพจ “สืบนครบาล IDMB” ให้ช่วยสืบสวนติดตามจับกุม  โดยเมื่อวันที่ 1 มกราคม 2567  ช่วงปีใหม่ผู้ต้องหาได้เข้าไปหาเพื่อง้อผู้เสียหายอดีตแฟนจะขอคืนดี แต่ผู้เสียหายไม่ยอมคุยจคงทำร้ายร่ายกาย แล้วหลบหนี   ต่อมาวันที่ 21 กุมภาพันธ์ 2567 ผู้ต้องหาเห็นผู้เสียหายขับรถจักรยานยนต์บนถนนเส้นแจ้งวัฒนะ จึงได้ขับรถจักรยานยนต์ของตนตามเข้าไปชนรถจักรยานยนต์ของผู้เสียหายจนล้มลง  เป็นพฤติกรรมอันตรายต่อผู้เสียหายและประชาชนใกล้เคียง ผู้การจ๋อจึงได้สั่งการให้สืบสวนเร่งรัดติดตามจับกุมโดยเร็ว             เมื่อวันที่ 16 พฤษภาคม 2567 พล.ต.ท.ธิติ แสงสว่าง ผบช.น., พล.ต.ต.นพศิลป์ พูลสวัสดิ์ รอง ผบช.น. พล.ต.ต.ธีรเดช ธรรมสุธีร์ ผบก.สส.บช.น. , พ.ต.อ.เกียรติศักดิ์ สระทองออย รอง ผบก สส.ฯ , พ.ต.อ.วิชิต  ถิรขจรวงศ์ ผกก.สส.1ฯ,พ.ต.ท.พีรบูรณ์ แก้วดู รอง ผกก.สส.1ฯ ,พ.ต.ท.เอกศิษฐ์ วรกิตติ์ฐากรณ์  รอง ผกก.สส.1ฯ  พ.ต.ต.พิสิทธิ์ เตชะ สว.กก.สส.1ฯ พร้อมเจ้าหน้าที่ตำรวจ กก.สส.1ฯ ชุดปฎิบัติการที่ 1 จับกุมตัว           นายนพฤทธิ์ อายุ 24 ปี ภูมิลำเนา ตำบลบองอ อำเภอระแงะ จังหวัดนราธิวาสผู้ต้องหาตามหมายจับศาลอาญา ที่ 1150/2567 ลงวันที่ 19 มีนาคม 2567          ซึ่งต้องหาว่ากระทำความผิดฐาน “บุกรุกเคหสถานในเวลากลางคืน, ทำร้ายผู้อื่น จนเป็นเหตุให้เกิดอันตรายแก่กายหรือจิตใจของผู้อื่นนั้น”     สถานที่จับกุม เพิกพักไม่มีเลขที่ภายใน ซ.โกสุมร่วมใจ 43 แขวงดอนเมือง        พฤติการณ์ในการจับกุม  วันที่ 16 พฤษภาคม 2567 เวลา 11.00 น. เจ้าพนักงานตำรวจชุดจับกุมได้ทำการสืบสวนจนทราบว่า นายนพฤทธิ์ อายุ 24 ปี อยู่ตำบลบองอ อำเภอระแงะ จังหวัดนราธิวาส ผู้ต้องหาตามหมายจับของศาลอาญาที่ 1150/2567 ลงวันที่ 19 มีนาคม 2567  ซึ่งต้องหาว่ากระทำความผิดฐาน “บุกรุกเคหสถานในเวลากลางคืน, ทำร้ายผู้อื่น จนเป็นเหตุให้เกิดอันตรายแก่กายหรือจิตใจของผู้อื่นนั้น” ได้หลบหนีมาพักอาศัยอยู่ในบริเวณซอยโกสุมรวมใจ 43 แขวงดอนเมือง เขตดอนเมือง กรุงเทพฯ จึงได้ดำเนินการสืบสวนติดตาม ต่อมาเมื่อวันที่ 16 พฤษภาคม 2567 เวลา 13.25 น. เจ้าหน้าที่ตำรวจชุดจับกุมได้พบเห็น นายนพฤทธิ์ฯ อยู่ภายในบริเวณเพิกพักไม่มีเลขที่ท้ายซอยโกสุมรวมใจ 43 แขวงดอนเมือง เขตดอนเมือง กรุงเทพมหานคร และมีตำหนิรูปพรรณตรงบุคคลกับหมายจับ จึงแสดงตัวเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจและขอตรวจสอบชื่อสกุลและหมายเลขบัตรประชาชนผลการตรวจสอบพบว่าเป็นบุคคลเดียวกันกับบุคคลตามหมายจับจึงแสดงหมายจับให้ นายนพฤทธิ์ฯ ดูและอ่านจนเข้าใจดีแล้ว แล้วรับว่าเป็นบุคคลตามหมายจับจริง และยังไม่เคยถูกจับกุมตามหมายจับนี้มาก่อน เจ้าหน้าที่ตำรวจชุดจับกุมจึงได้แจ้งข้อหาพร้อมทั้งแจ้งสิทธิ์ให้นายนพฤทธิ์ฯ ทราบ หลังจากนั้นเจ้าหน้าที่ตำรวจฯ จึงได้พานายนพฤทธิ์ฯ  นำส่งพนักงานสอบสวน สน.ทุ่งสองห้อง เพื่อดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป                                                ผู้ถูกจับให้การ รับสารภาพตลอดข้อกล่าวหาและให้การว่า ตนเองเคยคบหากับผู้เสียหายประมาณ 1…

หมอเหรียญทองแจงเหตุตบเด็ก14 รพ.เป็นเขตปลอดกุ๊ย ไม่ว่าใครสูบก็ทำแบบนี้ เพราะมีกฎระเบียบชัดเจน ยอมรับในส่วนที่ทำรุนแรง แต่ไม่คิดว่าทำเกินไปจากกระแสข่าวที่เด็ก 14 ถูกหมอเหรียญทองตบ ยึด โทรศัพท์ และสั่งให้แก้ผ้าเดินออกจากโรงพยาบาล เหตุเพราะแอบสูบบุหรี่ในห้องน้ำ ซึ่งแม่ของเด็กได้แจ้งความไปแล้วนั้น   ล่าสุดเวลา11.00น. วันที่ 15 พ.ค.67 ที่รพ.มงกุฎวัฒนะ  พลตรี เหรียญทอง แน่นหนา ผอ.รพ.มงกุฎวัฒนะ  เปิดเผยว่า จากที่มีเยาวชนชายคนนึงอายุ14ปี มาสูบบุหรี่ที่แผนกผู้ป่วยนอก หรือ โอ พี ดี ชั้น 1 อาคาร 3 ซึ่งเป็นอาคารใหม่ส่งกลิ่นควันบุหรี่เข้าสู่ระบบปรับอากาศคละคลุ้งทั่วพื้นที่พักคอยสำหรับผู้ป่วยที่รอรับการตรวจ และรู้กันดีอยู่แล้วว่าการสูดควันบุหรี่ที่เป็นสารก่อมะเร็งปอด มันอันตรายแค่ไหน  ทั้งๆที่ รพ.มงกุฎวัฒนะก็ประกาศจัดการผู้ฝ่าฝืนสูบบุหรี่อย่างเด็ดขาดรุนแรง และมีประกาศไว้ตามเสียงตามสายของ รพ.มงกุฎวัฒนะทุกๆ 2 ชั่วโมง แต่เยาวชนรายนี้ก็ยังฝ่าฝืน ซึ่งเเฟนของเยาวชนรายนี้ได้เข้ารับการรักษาตัวใน รพ.มงกุฎวัฒนะด้วยสาเหตุทารกในครรภ์ไม่ดิ้น ทางโรงพยาบาลก็รักษาจนอาการดีขึ้น ตนจึงได้จัดการเยาวชนรายนี้ อย่างดุเดือดรุนแรง ตอนแรกเจ้าหน้าที่เรียกปรับ 5,000 บาท แต่เขาไม่มีจึงยึดโทรศัพท์ และเจ้าหน้าที่ก็ได้แจ้งตนเลยมาจัดการ โดยตบไป 3-4 ครั้ง เตะไป 1 ครั้ง และสั่งให้แก้ผ้าออกไปจาก ซึ่งตนยอมรับผิดในส่วนนี้ และยอมรับว่าตั้งใจอนาจารเพื่อเป็นการสั่งสอน แต่หลังจากนั้น ตนเห็นว่ามีแก๊งมอเตอร์ไซค์มาข่มขู่ขับรถเสียงด้งหน้าทางเข้า รพ.มงกุฎวัฒนะ 6-7 คัน  ต้องบอกว่าการสูบบุหรี่ไม่ใช่แค่อันตรายต่อสุขภาพ แต่สร้างความสุ่มเสี่ยงต่ออัคคีภัยใน  สุ่มเสี่ยงต่อการเกิดโศกนาฏกรรมแล้ว เพราะเคยเกิดเหตุอัคคีภัย ณ รพ.มงกุฎวัฒนะมาแล้ว  ถึง 2 ครั้ง ในปี พ.ศ.2558 และ 2564 ตนก็ต้องเป็นคนรับผิดชอบ แต่คนก่อเหตุไม่โดนอะไรเลย   ทางโรงพยาบาลประกาศต่อสาธารณะมาเสมอว่าเราไม่ง้อ ไม่สนผู้ใช้บริการที่เป็นกุ๊ยอันธพาลเกเร คิดจะฝ่าฝืนสูบบุหรี่ เกเร อวดเบ่งบุคลากรทางการแพทย์ กระทำอะไรตามอำเภอใจ ก็ขอเชิญไป รพ.อื่นที่ยอมรับได้ และ ต้องบอกว่า ต้นทำแบบนี้กับทุกคนไม่ใช่แค่เยาวชนรายนี้ ถ้าทำผิดกฎ ไม่ว่าจะเป็นใครหรือยศใหญ่แค่ไหนตนก็จะสั่งสอนแบบเดียวกัน  แต่สำหรับ รพ.มงกุฎวัฒนะ มีผู้ใช้บริการที่รู้กฎระเบียบสังคมมาใช้บริการอย่างสบายใจ ตนไม่สนว่าเป็นการกระทำที่เกินกว่าเหตุหรือไม่เพราะตนคิดว่าเหมาะสม และตนไม่ทราบว่าเค้าเป็นเยาวชนซึ่งก็ยอมรับผิดในส่วนนี้ถ้าจะโดนจับตนก็พร้อมแต่ต้องมีเหตุผลที่ สมเหตุสมผล ทั้งนี้ ตนขอประกาศว่า รพ.มงกุฎวัฒนะเป็นเขตปลอดภัยจากบุหรี่ รวมถึงปลอดกุ๊ยจากอันธพาลเกเรด้วย และจะเปลี่ยนจากค่าปรับ 5,000 บาทเป็น 500,000 บาท อย่างไรก็ตามตอนนี้โทรศัพท์มือถือและเสื้อผ้าของเยาวชนรายดังกล่าวยังอยู่ที่โรงพยาบาล ถ้าหลังจากนี้แม่ของเด็กจะมารับคืนก็สามารถมารับได้เลยตนไม่คิดค่าปรับเลยสักบาท และถ้าเขาจะดำเนินคดีตนก็ใก้ทำให้ถึงที่สุด ตนก็พร้อมสู้

รวบ “โด้โพธิ์ปั้น” ผู้ต้องหาบัญชีม้า พบยาเสพติด อาวุธปืน กระสุน หลังก่อเหตุเล็งปืนใส่เจ้าหน้าที่ชุดจับเปิดทางหนี  ตามนโยบาย พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ รรท.ผบ.ตร. , พล.ต.อ.ธนา ชูวงศ์ รอง ผบ.ตร. , พล.ต.ท.สำราญ นวลมา ผู้ช่วย ผบ.ตร. ,พล.ต.ท.ธิติ แสงสว่าง ผบช.น. ให้เร่งรัดปราบปรามยาเสพติด และอาชญากรรมที่สร้างความเดือดร้อนให้แก่ประชาชน โดยเฉพาะในปัจจุบันสถิติอาชญากรรมที่มีการใช้นำอาวุธปืน เครื่องกระสุนปืนก่อเหตุอาชญากรรม มีเป็นจำนวนมาก               เมื่อวันที่ 14 พ.ค.67 พล.ต.ท.ธิติ แสงสว่าง ผบช.น. , พล.ต.ต.นพศิลป์ พูลสวัสดิ์ รอง ผบช.น.  พล.ต.ต.ธีรเดช ธรรมสุธีร์ ผบก.สส.บช.น , พ.ต.อ.เกียรติศักดิ์ สระทองออย ,พ.ต.อ.นิวัฒน์ พึ่งอุทัยศรี รอง ผบก สส.บช.น. พ.ต.อ.สิทธิศักดิ์ นาคามาตย์  ผกก.สส.2 บก.สส.บช.น. , พ.ต.ท ณัฐวุฒิ สีเสมอ , พ.ต.ท.นิติกรณ์ ระวัง รอง ผกก.สส.2 บก.สส.บช.น. พ.ต.ต.สมพร คำเกตุ สว.กก.สส.2 บก.สส.บช.น.  ร.ต.อ.โสรชาติ  ดาวเรือง  รอง.สว.สส.2 บก.สส.บชน. เจ้าหน้าที่กก.สส.2 สืบนครบาล ได้ร่วมกันทำการจับกุมตัว         1.นายธีรพลหรือโด้ อายุ 30 ปี  ภูมิลำเนา ถนนราชวิถี แขวงทุ่งพญาไท เขตราชเทวี กรุงเทพมหานคร   ผู้ต้องหาตาม หมายจับศาลอาญาที่ จ.3912/2567 ลงวันที่ 7 พฤศจิกายน 2566 ต้องหาว่ากระทำความผิดฐาน “ฉ้อโกงประชาชน,นำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ปลอม โดยน่าจะเกิดความเสียหายแก่ผู้อื่นหรือประชาชน” ซึ่งเมื่อวันที่ 7 พ.ค.67 เวลาประมาณ 19.30 น ขณะเข้าทำการจับกุมผู้ต้องหาได้ทำการต่อสู้ขัดขวางเจ้าพนักงาน เล็งอาวุธปืนใส่เจ้าหน้า เพื่อเปิดทางหลบหนีไป นั้น          2. นางสาวปภาดา อายุ 46 ปี ภูมิลำเนา ซ.เทียนทะเล  ถ.บางขุนเทียน - ชายทะเล แขวงแสมดำ เขตบางขุนเทียนกรุงเทพมหานคร          3.น.ส.ธนาวรรณ อายุ 36 ปี ภูมิลำเนา ถ.เสรีไทย    แขวงคลองจั่น เขตบางกะปี กรุงเทพมหานคร ตรวจยึดของกลางคือ 1. อาวุธปืนไทยประดิษฐ์ขนาด .38 จำนวน 1 กระบอก พร้อมซองกระสุนปืน จำนวน 2 ซอง 2.เครื่องกระสุนปืนขนาด .38 จำนวน 16 นัด3.ยาไอซ์น้ำหนักประมาณ 18 กรัม4.ยาบ้าจำนวน 8 เม็ด5.อุปกรณ์การเสพและจำหน่าย         โดยกล่าวหาผู้ต้องหาทั้งหมดว่า “ ร่วมกันจำหน่ายยาเสพติดให้โทษประเภท 1 (เมทแอมเฟตามีน ยาบ้า ไอซ์ ) โดยการมีไว้เพื่อจำหน่าย โดยผิดกฎหมาย อันเป็นการกระทำเพื่อการค้า และก่อให้เกิดการแพร่กระจายในกลุ่มประชาชน และ ร่วมกันมีอาวุธปืนและเครื่องกระสุนปืนไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาตจากนายทะเบียน ”         กล่าวคือ สืบนครบาล ได้ทำการสืบสวนติดตามจับกุมตัวนายธีรพล ผู้ต้องหาภายในซอยโพธิ์ปั้น แขวงดินแดง เขตดินแดง กรุงเทพฯ  ร.ต.อ.โสรชาติ  ดาวเรือง  รอง.สว.สส.2 บก.สส.บชน. กับพวก ติดตามเพื่อจับกุมผู้ต้องหาตามหมายจับในความผิดฐาน "โดยทุจริตหรือโดยหลอกหลวง นำเข้าสู่ซึ่งข้อมูลเข้าสู่คอมพิวเตอร์" โดยบุคคลดังกล่าวเป็นผู้พักอาศัยอยู่บริเวณบ้านเลขที่ 580/152 ซอยโพธิ์ปั้น แยก…

รองผบช.น. ประชุมติดตามความคืบหน้าคดีแก๊งเกาหลี 3 ราย ฆ่าเพื่อนร่วมชาติ เร่งติดตัวตัวนายฮยองวอน คิม ที่ยังหลบหนีหลังศาลออกหมายจับสถานีตำรวจนครบาลคลองตัน-15 พ.ค.67 พล.ต.ต.นพศิลป์ พูลสวัสดิ์ รองผู้บัญชาการตำรวจนครบาล (รอง ผบช.น.) มาประชุมติดตามความคืบหน้าคดีฆ่านายโรห์ อึน จง อายุ 34 ปี ชาวเกาหลี ที่ถูกเพื่อนร่วมชาติฆ่าเอาร่างยัดใส่ถัง 200 ลิตร แล้วโบกปูนถ่วงน้ำที่อ่างเก็บน้ำมาบประชัน หมู่ 3 ต.หนองปรือ อ.บางละมุง จ.ชลบุรี โดยมีพล.ต.ต.ธีรเดช ธรรมสุธีร์ ผบก.สส.บช.น., พล.ต.ต.วิทวัฒน์ ชินคำ ผบก.น.5, พ.ต.อ.ภพธร จิตต์หมั่น รอง ผบก.น.5 พ.ต.อ.ศิรณวิชญ์ อินทร ผกก.สส.บก.น.5 พ.ต.อ.วชิรากรณ์ วงศ์บุญ ผกก.สน.คลองตัน, พ.ต.อ.อุรัมพร ขุนเดชสัมฤทธิ์ ผกก.สน.มักกะสัน พร้อมเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องเข้าร่วมประชุม ใช้เวลาในการประชุมประมาณ 1 ชั่วโมง พล.ต.ต.นพศิลป์ กล่าวว่า วันนี้ตนมาประชุมติดตามความคืบหน้าคดี ซึ่งวานนี้(14 พ.ค.) ทางพนักงานสอบสวนได้ขอหมายจับศาลอาญากรุงเทพใต้ ออกหมายจับนายโรอุน ลี (Mr.Roun Lee) อายุ 25 ปี, นายยังจิน ลี (Mr.Yongjin Lee) อายุ 29 ปี และนายฮยองวอน คิม (Mr.Hyeonggwon Kim) อายุ 35 ปี สัญชาติเกาหลีใต้ ในข้อหา ร่วมกันข่มขืนใจผู้อื่นให้กระทำการใด ไม่กระทำการใด หรือจำยอมต่อสิ่งใด โดยทำให้ กลัวว่าจะเกิดอันตรายต่อชีวิต ร่างกาย เสรีภาพ ชื่อเสียงหรือทรัพย์สิน, ร่วมกันเอาตัวบุคคลอายุกว่าสิบห้าปีไป โดยใช้อุบาย หลอกลวง ขู่เข็ญ ใช้กำลังประทุษร้าย ใช้อำนาจครอบงำผิดคลองธรรม หรือใช้วิธีข่มขืนใจด้วยประการอื่นใด หรือ ร่วมกันหน่วง เหนี่ยวหรือกักขังผู้อื่น หรือกระทำด้วยประการใดให้ผู้อื่นปราศจากเสรีภาพในร่างกายจนเป็นเหตุให้ผู้ถูกหน่วงเหนี่ยวกักขังถึงแก่ ความตาย เพื่อให้ได้มาซึ่งค่าไถ่, ร่วมกันฆ่าผู้อื่นเพื่อจะเอาหรือเอาไว้ซึ่งผลประโยชน์อันเกิดแก่การที่ตนได้กระทำความผิดอื่น เพื่อปกปิดความผิดของตน หรือเพื่อหลีกเลี่ยงให้พ้นอาญาในความผิดอื่นที่ตนได้กระทำไว้, ซ่อนเร้น ย้ายหรือทำลายศพหรือส่วน ของศพเพื่อปิดบังการตายหรือเหตุแห่งการตาย, ร่วมกันลักทรัพย์ และใช้บัตรอิเล็กทรอนิกส์ของผู้อื่นโดยมิชอบ พล.ต.ต.นพศิลป์ กล่าวว่า ทางตำรวจของประเทศกัมพูชา สามารถควบคุมตัวนายยังจิน ลี (Mr.Yongjin Lee) อายุ 29 ปี ได้ที่พักแห่งหนึ่งในพนมเปญ เมื่อวันที่ 13 พฤษภาคมที่ผ่าน และตำรวจเกาหลีใต้ได้ควบคุมตัวนายโรอุน ลี (Mr.Roun Lee) อายุ 25 ปี เมื่อวันที่ 12 พฤษภาคมที่ผ่าน โดยผลการสืบสวนสอบสวนคนร้ายทั้งสองคนสอดคล้องกับคำให้การของภรรยาของนายฮยองวอน คิม ที่ ขณะนี้กำลังหลบหนีอยู่ โดยตำรวจเกาหลีได้ให้ข้อมูลส่วนหนึ่งจากภรรยาของนายฮยองวอน คิม ว่าเป็นหนึ่งในผู้ร่วมก่อเหตุ ซึ่งเป็นผู้ขับขี่รถยนต์ยี่ห้อฮอนด้า รุ่นซิตี้ สีเทา ทะเบียน 9 กม 5674 มารับนายโรห์ อึน จง ผู้ตาย ออกมาจากผับย่านอาร์ซีเอ ร่วมกับนายโรอุน ลี ซึ่งนั่งด้านหน้าซ้าย และมีนายยังจิน ลี ได้เข้าไปพูดคุยกับผู้ตาย และนั่งประกบผู้ตายที่เบาะด้านหลัง ซึ่งสอดคล้องกับข้อมูลการสืบสวนสอบสวนพบว่าผู้ต้องหาทั้งสามคนได้ออกจากโรงแรมที่พักเพื่อมาที่ย่านอาร์ซีเอ โดยมีเป้าหมายหลักเพื่อจะวางยาและปล้นทรัพย์  รองผบช.น. กล่าวว่า ทั้งนี้เชื่อว่าผู้ตายและกลุ่มผู้ต้องหารู้จักกันก่อนที่จะเกิดเหตุ โดยผู้ตายได้มีการโชว์โทรศัพท์มือถือให้เห็นว่ามีเงินเยอะ ทางกลุ่มผู้ต้องหาจึงมีการนัดหมายให้เจอกันที่ผับย่านอาร์ซีเอ โดยผู้ตายได้ออกจากโรงแรมที่พักเวลาประมาณ 20.00 น. และใช้เวลา 30 นาทีก็ถึงร้าน ส่วนนายยังจิน ลี ออกจากที่พักเวลาประมาณ 22.00 น. ส่วนนายโรอุน ลี และนายฮยองวอน ได้ออกจากบ้านที่เช่าพักไว้ระหว่างวันที่ 1-3 พ.ค. เวลา 00.10 น. จากนั้นได้มีการมอมยานายโรห์ อึน จง และหลอกล่อออกจากร้าน พาขึ้นรถยนต์ระหว่างทางนายโรห์ อึน จง ได้สติและเกิดการต่อสู้ ทางนายโรอุน ลี จึงข้ามจากที่นั่งด้านซ้ายคนขับ มาร่วมกันทำร้ายร่างกายจนนายโรห์ อึน จง ได้สลบไป…

เข้าร่วมประชุม พล.ต.ท.ธนายุตม์ ผู้แทน ตร.ร่วมการประชุมคณะกรรมการฯเปรียบเทียบตามพระราชบัญญัติศุลกากร พ.ศ.2560 ครั้งที่ 3/2567วันนี้(วันพุธที่ 15 พ.ค. 67) เวลา 10.00 น. พล.ต.อ.สราวุฒิ การพาณิช รอง ผบ.ตร.(กม) มอบหมายให้ พล.ต.ท.ธนายุตม์ วุฒิจรัสธำรงค์ ผู้ช่วย ผบ.ตร.(กม 4) เป็นผู้แทนสำนักงานตำรวจแห่งชาติเข้าร่วมประชุม“ประชุมคณะกรรมการเปรียบเทียบตามพระราชบัญญัติศุลกากร พ.ศ.2560 ครั้งที่ 3/2567”โดยมี นายธีรัชย์ อัตนวานิช อธิบดีกรมศุลกากร เป็นประธานพร้อมด้วยนายพนิต ธีรภาพวงศ์ ผู้แทนกระทรวงการคลังนางกิจจาลักษณ์ ศรีนุชศาสตร์ รองอธิบดีกรมศุลกากรนายคณิต มีปิด ผู้อำนวยการกองกฎหมาย กรมศุลกากรนางสาวอมรรัตน์ สายเชื้อ ผู้อำนวยการส่วนคดี กรมศุลกากรนางสุนีย์ เกษตรสุนทร ผู้อำนวยการส่วนคดีอุทธรณ์และเปรียบเทียบ กรมศุลกากร ณ ห้องอนุมานราชธน อาคาร 1 ชั้น 2 กรมศุลกากร แขวงคลองเตย เขตคลองเตย กรุงเทพมหานคร

‘ใบเตย’ ร้อง สอท.เอาผิดเว็บพนันใช้รูปโปรโมท ชักชวนประชาชนหลงเชื่อวันนี้ (29​ เม.ย. 67) ที่​ สอท.1 นางสาวสุธีวัน กุญชร หรือ ใบเตย อาร์สยาม​ เดินทางมาเข้าพบ​ พล.ต.ต.ชัชปัณฑกาณฑ์ คล้ายคลึง ผู้บังคับการตำรวจสืบสวนสอบสวน อาชญากรรมทางเทคโนโลยี 1 เพื่อแจ้งความดำเนินคดีกับเว็บพนันออนไลน์ที่นำรูปไปแอบอ้างโปรโมทเว็บออนไลน์ พล.ต.ต.ชัชปัณฑกาณฑ์ กล่าวว่า วันนี้นางสาวสุธีวัน หรือ ใบเตย อาร์สยาม ได้เข้ามาแจ้งความต่อ บก.สอท.1 กรณีถูกเพจเฟซบุ๊คปลอม โดยมีภาพและคลิปวิดีโอของใบเตย อาร์สยาม ในการโฆษณาเกี่ยวกับการพนันออนไลน์ ซึ่งจากการตรวจสอบพบว่า เพจเฟซบุ๊คดังกล่าว ถูกเปิดขึ้นเมื่อ 21 เม.ย.67 โดยกระทำเพื่อการโฆษณาเว็บพนันออนไลน์โดยเฉพาะ ขณะเดียวกันที่เพจเฟซบุ๊คจริงของใบเตย อาร์สยาม มีผู้ติดตามกว่า 8 แสนคน แต่เพจปลอมพบมีผู้ติดตามกว่า 5 หมื่นคน หลังจากนี้ทาง บก.สอท.1 จะมีการตรวจสอบเพิ่มเติมโดยฝ่ายวิเคราะห์ข่าวและเครื่องมือพิเศษ บก.สอท.1 ซึ่งต้องดำเนินการสืบสวนสอบสวนต่อไป เบื้องต้นจะมีผู้กระทำการดังกล่าวจะมีความผิดตาม พ.ร.บ.การพนัน พ.ศ.2478 มาตรา 12 ผู้ใดจัดให้มีการเล่น ช่วยโฆษณาชักชวนให้ผู้อื่นเข้าเล่นการพนัน รวมถึงความผิดตาม พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ มาตรา 14 การนำเข้าข้อมูลเท็จ และมาตรา 16 ผู้ใดนำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ปรากฎภาพของบุคคลอื่น ทำให้ผู้อื่นนั้นเสียชื่อเสียง ทางด้านนางสาวสุธีวัน  กล่าวว่า ตนได้พบเจอกรณีดังกล่าวมานานแล้ว แต่เมื่อล่าสุดพบว่า มีแฟนคลับเข้ามาแจ้งข้อมูลของเพจดังกล่าวจำนวนมาก โดยมีบุคคลที่หลงเชื่อเพจปลอมและเข้าไปเล่นพนันออนไลน์จนได้รับความเสียหายจากเพจปลอมดังกล่าวจริงๆ ต่อมาตนได้รู้จักหน่วยงาน บก.สอท.1 จึงได้เข้ามาแจ้งความในวันนี้ โดยจากเพจปลอมมีพฤติการณ์การนำคลิปและภาพของตนเองที่ดึงดูดไปโฆษณาให้คนเข้ามาเล่นและหลงเชื่อ ซึ่งการกระทำดังกล่าวส่งผลกระทบด้านความน่าเชื่อของตน ภาพลักษณ์ รวมถึงความเสียหายของแฟนคลับที่หลงเชื่อว่าเป็นตน นอกจากนี้ ตนอยากฝากเตือนแฟนคลับหรือบุคคลอื่นๆ ว่าอย่าหลงเชื่อถ้าหากเป็นการโฆษณาเว็บพนัน ยืนยันไม่ใช่ตนเอง ให้ดูให้ดี อย่าหลงเชื่ออะไรง่ายๆ จากเพจปลอม ตนไม่เคยมีพฤติการณ์เกี่ยวกับเว็บพนัน ทั้งนี้ อยากให้แฟนคลับช่วยรีพอร์ตเพจปลอมเหล่านี้ เพื่อปิดเพจปลอมที่สร้างความเสียหายให้กับผู้ที่หลงเชื่อ และหากใครที่ถูกนำรูปภาพหรือวิดีโอของตนเองไปใช้ในโฆณาเว็บพนันออนไลน์ ไม่ว่าจะเป็นดาราหรือบุคคลทั่วไป อย่านิ่งนอนใจ ให้รีบเข้ามาแจ้งความกับทางตำรวจไซเบอร์ อย่างไรก็ตาม พล.ต.ต.ชัชปัณฑกาณฑ์ คล้ายคลึง ผบก.สอท.1 ยังฝากเตือนถึงประชาชน ในเบื้องต้น ให้สังเกต Meta Verified หรือเครื่องหมายติ๊กถูกสีฟ้า จะช่วยสร้างความน่าเชื่อถือมากยิ่งขึ้น เพราะขณะนี้มีการหลอกหลวงทั้งไฮบริดสแกม มีจำนวนผู้เสียหายที่สูญเงินจำนวนมาก นอกจากนี้ยังสามารถโทรสายด่วน 1441 ออนไลน์ AOC สามารถช่วยแจ้งความออนไลน์ หรือระงับบัญชีทันทีกรณีถูกคอลเซ็นเตอร์หลอก จึงอยากฝากเตือนประชาชนเพื่อความปลอดภัยและไม่ตกเป็นเหยื่อของคอลเซ็นเตอร์

แจ้ง 2 ข้อหา 3 เยาวชนก่อเหตุทำร้ายคู่อริ จนประสบอุบัติเหตุ ขับรถชนเสาไฟฟ้าเสียชีวิต 2 คน และบาดเจ็บอีก 1 คน ที่ย่านรามอินทราพนักงานสืบสวนสถานีตำรวจนครบาลบางเขนควบคุมตัว 3 เยาวชน อายุ 14 - 15 ปี ขึ้นรถออกจากสถานีตำรวจนครบาลบางเขนไป ทำแผนประกอบคำรับสารภาพบริเวณจุดเกิดเหตุย่านรามอินทรา หลังก่อเหตุไล่ทำร้ายร่างกายกันเมื่อคืนที่ผ่านมา พันตำรวจเอกอนันต์ วรสาตร์ ผู้กำกับการ สถานีตำรวจนครบาลบางเขน เปิดเผยว่า ฝ่ายสืบสวนได้ไล่ตรวจสอบภาพจากกล้องวงจรปิดกรณีที่เยาวชน 2 กลุ่ม ขับขี่รถจักรยานยนต์ไล่ทำร้ายร่างกายกันที่บริเวณซอยรามอินทรา 5 เมื่อคืนที่ผ่านมา จนทำให้มีผู้เสียชีวิต 2 คน และมีผู้บาดเจ็บ 1 คน จนสามารถพิสูจน์ทราบตัวคนร้ายทั้ง 3 คน ซึ่งเมื่อช่วงเช้ามืดที่ผ่านมา ผู้ปกครองของผู้ก่อเหตุทั้ง 3 คนได้พาผู้ก่อเหตุมามอบตัว สำหรับมูลเหตุจูงใจนั้น ผู้ก่อเหตุอ้างว่า ก่อนหน้านี้กลุ่มตัวเองและกลุ่มผู้เสียชีวิตเป็นเด็กที่รู้จักกันมาก่อน แต่มาแตกหักกันในเรื่องชู้สาว ซึ่งทั้งสองกลุ่มได้มีเหตุปะทะกันมาอย่างต่อเนื่อง โดยครั้งล่าสุดเมื่อประมาณ 1 เดือนที่ผ่านมา ทั้งสองกลุ่มก็ได้กระทบกระทั่งและใช้อาวุธปืนยิงกันที่บริเวณถนนงามวงศ์วาน แต่เหตุการณ์นั้นไม่มีใครได้รับบาดเจ็บ หรือเสียชีวิต สำหรับการตรวจสอบที่เกิดเหตุเบื้องต้นเจ้าหน้าที่ตำรวจอาวุธมีดตกอยู่ในที่เกิดเหตุ 1 เล่ม ส่วนขั้นตอนการสอบปากคำ เบื้องต้นพนักงานสอบสวนได้นัดผู้ก่อเหตุทั้ง 3 คนให้มาสอบปากคำร่วมกับสหวิชาชีพอีกครั้งในวันพรุ่งนี้ และจะดำเนินการฝากขังที่ศาลเยาวชนและครอบครัวกลาง ใน ข้อหาทำร้ายร่างกายและพกพาอาวุธในพื้นที่สาธารณะ ส่วนจะเข้าข่ายข้อหาพยายามฆ่าหรือไม่นั้นอยู่ระหว่างรวบรวมพยานหลักฐานเพิ่มเติม  ขณะที่พ่อของนายศิวกร ไกรโนนทอง หรือน้องเมนูอายุ 15 ปี  หนึ่งในเยาวชนที่เสียชีวิต เปิดใจกับทีมข่าวว่า ตนเคยตักเตือนลูกชายมาหลายครั้งแล้ว ว่าให้หยุดพฤติกรรมต่าง ๆ เพราะตนรู้สึกเอือมระอาที่ต้องไปเจรจา และจ่ายค่าเสียหายให้กับคู่กรณี หลังจากที่ลูกชายไปก่อเหตุทำร้ายร่างกายมาหลายครั้ง  สำหรับเหตุการณ์ครั้งนี้ ในขณะที่เกิดเหตุนั้นตนกำลังขับรถไปส่งผู้โดยสารที่ย่านธัญบุรี และมีญาติโทรมาบอกตนว่าลูกชายของตนประสบอุบัติเหตุรถชนเสาไฟฟ้าเสียชีวิต ตนจึงรีบมาที่เกิดเหตุ และพบว่าลูกชายเสียชีวิตแล้ว พร้อมกับพบว่าบริเวณร่างกายมีบาดแผลที่ถูกของมีคมทำร้ายมาก่อน  ทั้งนี้ ตนยอมรับว่าลูกชายของตนไม่ได้เป็นเด็กที่ดี แต่ก็ไม่ควรต้องมาเสียชีวิตแบบนี้ ถ้าเป็นไปได้ก็อยากจะถามกลุ่มผู้ก่อเหตุว่า สะใจหรือยัง พอใจหรือยัง ที่ลูกชายตนตายไปแล้ว พร้อมกับถามผู้ปกครองของกลุ่มผู้ก่อเหตุว่า จะเยียวยาชดใช้ตนอย่างไร

คุมตัวคนขับแท็กซี่เมาชน ตร.ดับ ฝากขังศาลอาญาฯพนักงานสืบสวนสถานีตำรวจนครบาลบางเขนควบคุมตัวผู้ก่อเหตุขับรถชนรองสารวัตรขณะปฎิบัติหน้าที่อำนวยความสะดวกงานวิ่งไปขอศาล อาญารัชดา ฝากขังในข้อหาขับขี่รถขณะมึนเมาสุรา และขับขี่โดยประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นเสียชีวิต  พันตำรวจเอกอนันต์ วรศาสตร์ ผู้กำกับการสถานีตำรวจนครบาลบางเขน เปิดเผยความคืบหน้า กรณีผู้ขับขี่รถแท็กซี่ขับรถชนร้อยตำรวจตรี อัสดา จำเนียรศรี อายุ 54 ปี รองสารวัตรจราจร สถานีตำรวจนครบาลบางเขน ว่า ในวันนี้ช่วงเวลาประมาณ 13:00 น. เจ้าหน้าที่ตำรวจจะควบคุมตัวผู้ก่อเหตุคือ นายวราบุตร์ อายุ 45 ปี ผู้ขับขี่รถแท็กซี่ ไปฝากขังที่ศาลอาญา ถนนรัชดาภิเษก โดยแจ้งข้อหาขับขี่รถขณะมึนเมาสุรา และขับขี่โดยประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นเสียชีวิต  โดยขั้นตอนระหว่างสอบปากคำ พบว่าหลังถูกจับ นายวราบุตร์ มีอาการมึนเมาให้การ ไม่รู้เรื่อง ต้องรอให้เจ้าตัวหายจากอาการมึนเมา จึงสามารถให้การได้ โดยยอมรับว่าก่อนเกิดเหตุได้ดื่มสุรา ที่แยกห้วยขวาง ในช่วงเวลาประมาณ 04.00 น. ก่อนที่ในช่วงเวลาประมาณ 05.00 - 06.00 น. จะขับขี่รถแท็กซี่กลับบ้านย่านรามอินทรา ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่ร้อยตำรวจตรีอัสดา ปฏิบัติหน้าที่ดูแลอำนวยความสะดวกการจัดกิจกรรมงานวิ่ง ซึ่งจากการตรวจสอบกล้องวงจรปิด พบผู้ก่อเหตุขับรถมาด้วยความเร็ว ไม่มีรอบเบรกก่อนจะพุ่งเข้าชนร้อยตำรวจตรีอัสดาอย่างรุนแรง สำหรับร้อยตำรวจตรีอัสดา จำเนียรศรี พบว่าเป็นตำรวจน้ำดี ปฏิบัติหน้าที่อำนวยความสะดวกด้านการจราจรที่ด้านหน้าโรงเรียนแห่งหนึ่งในซอยพหลโยธิน ซึ่งในช่วงเย็นวันนี้ตัวเองจะมีการหารือถึงแนวทางการช่วยเหลือเยียวยาครอบครัวตามกระบวนการต่อไป สำหรับกำหนดการ สวดอภิธรรมร้อยตำรวจตรีอัสดา จะมีพิธีรดน้ำศพในเวลา 16.00 น. วันนี้ ที่วัดพรพระร่วงประสิทธิ์ แขวงออเงิน เขตสายไหม กรุงเทพฯ และสวดพระอภิธรรมศพเวลา 18.00 น. ส่วนวันอังคาร ที่ 30 เมษายน 2567 และ วันพุธ ที่ 1 พ.ค. 67 จะสวดพระอภิธรรมศพ ในเวลา 19.00 น. โดยขณะนี้อยู่รอกำหนดการพระราชทานเพลิงศพในวันพฤหัสดี ที่ 2 พ.ค. 67 ซึ่งในวันนี้ ทางพลตำรวจตรีอรรถพล อนุสิทธิ์ ผู้บังคับการตำรวจนครบาล 2 ร่วมเป็นเจ้าภาพ

รวบกลางถนน แดนหัวใจระเบิด ลวงเด็กย่ำยี-ถ่ายคลิป-บังคับเสพกัญชา แถมลั่น “ตำรวจทำอะไรกูไม่ได้”    “บ้านกูใหญ่....ตำรวจทำอะไรกูไม่ได้” แดนหัวใจระเบิดเดนนรกส่งข้อความท้าทายเชิงข่มขู่ให้กับหญิงสาววัย 17 ปี หลังหญิงสาวเข้าแจ้งความว่าถูกแดนหัวใจระเบิดนำภาพคลิปลับไปเผยแพร่ในโลกโซเชียลเธอนอนร้องไห้ทุกคืนทั้งกลัวทั้งอับอาย  เนื่องจากมันส่งข้อความขู่ว่า “อากูเป็นตำรวจ พี่กูเป็นทหาร กฏหมายแค่เสียตังค์“ ล่าสุดเรื่องถึงหูผู้การจ๋อเลยจัดให้แบบเต็มเหนี่ยว ส่งชุดดรีมทีมสืบนครบาลเข้าชาร์จรวบกลางถนนจรัญ 85 และเมื่อไปค้นบ้านพักก็ไปพบเด็กสาวอายุ 14 ปีอีกรายหนึ่ง ถูกล่อลวงมากระทำชำเรา , ถ่ายคลิปลับและยังบังคับให้เสพกัญชา โดยให้อยู่ในบ้านเหมือนธาตุเรือนเบี้ย Miss Call จากผู้ปกครองเหยื่อแดงเถือกกว่าร้อยสายในโทรศัพท์ของเด็กสาววัย 14 ปี ทำญาติคิดว่าเธอเสียชีวิตไปแล้ว ล่าสุดคอตกเข้าคุกสารภาพแบบหมาหงอยว่าทำไปเพราะความคึกคะนอง            ตามนโยบายของ พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ รรท.ผบ.ตร., พล.ต.อ.ธนา ชูวงศ์ รอง ผบ.ตร., และ พล.ต.ท.สำราญ นวลมา ผู้ช่วย ผบ.ตร. ให้ปราบปรามอาชญากรรมที่กระทำความผิดสร้างความเดือดร้อนแก่พี่น้องประชาชนผู้สุจริตสร้างความหวาดกลัว               เมื่อวันที่  27  เมษายน  2567 พล.ต.ท.ธิติ แสงสว่าง ผบช.น.,พล.ต.ต.นพศิลป์ พูลสวัสดิ์ รอง ผบช.น. , สั่งการ พล.ต.ต.ธีรเดช ธรรมสุธีร์ ผบก.สส.บช.น. , พ.ต.อ.วรพจน์ รุ่งกระจ่าง รอง ผบก.สส.ฯ พ.ต.อ.จักราวุธ คล้ายนิล ผกก.วิเคราะห์ข่าวบก.สส.บช.น.,พ.ต.ท.เอกศิษฐ์   วรกิตติ์ฐากรณ์  รอง ผกก.1 บก .สส.บช.น.  พ.ต.ท.มาโนชย์ ทองแก้ว รอง ผกก.สส บก.น.5    พ.ต.ต.ธัญพีรสิษฐ์ จุลพิภพ สว.กก.3 บก.สส.บช.น. พ.ต.ต.วศิน  อินทร์แก้วสว.ฝอ.บก.สส.บช.น.   ร.ต.อ.ศิวัช  ยังอุ่น รอง สว. กก.4 บก .สส.บช.น. ร.ต.อ.วรภัทร แสงเทียนประไพร รอง สว.สส.2 ฯปฏิบัติงาน ศอ.ปส.ตร. ร.ต.อ.หญิง ณิชญากาญจน์ เปสลาพันธ์ รอง สว.ฝอ บก.สส.บช.น.  ร.ต.ท.เลิศวริศ เลิศวรปรีชา รอง สว.ฯปฏิบัติงาน ศอ.ปส.ตร. ร.ต.ท.ณัฐวุฒิ อ้นชูฤทธิ์ รอง สว.สอบสวน สน.ดินแดง  ร.ต.ท.อนันตชัย สัจจพงษ์ รอง สว.ฝอ.2ฯปฏิบัติงาน ศอ.ปส.ตร.ร่วมกับเจ้าหน้าที่สืบนครบาลร่วมกันสืบสวนติดตามจับกุมตัว             นายอัฐษฎา หรือแดนหัวใจระเบิด อายุ 19 ปี ภูมิลำเนา แขวงบางค้อ เขตจอมทอง จ.กรุงเทพฯ ผู้ต้องหาตามหมายจับศาลอาญาธนบุรีที่ จ.352/2567 ลงวันที่ 25 เมษายน 2567              โดยกล่วหาว่า “พรากผู้เยาว์อายุกว่าสิบห้าปีแต่ยังไม่เกินสิบแปดปีไปเสียจากบิดามารดา ผู้ปกครอง ผู้ดูแลเพื่อการอนาจารโดยผู้เยาว์นั้นเต็มใจไปด้วย , นำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ใดๆ ที่มีลักษณะอันลามกและข้อมูลคอมพิวเตอร์นั้นประชาชนทั่วไปเข้าถึงได้”          จับกุมได้ที่ ภายใน ซ.จริญสนิทวงศ์ 85 แขวงบางอ้อ เขตบางพลัด จ.กรุงเทพฯ         พฤติการณ์กล่าวคือ “กฎหมายก็แค่เสียตัง....บ้านกูใหญ่....ตำรวจทำอะไรกูไม่ได้” แชทสนทนาของนายแดนหัวใจระเบิดที่ส่งมาข่มขู่เด็กสาววัย 17 ปี หลังจากที่มันได้เผยแพร่คลิปลับของเธอในโลกโซเชียล ก่อนจะข่มขู่เธอหวังจะให้เธอกลับไปมีสัมพันธ์สวาทกับมันอีกครั้ง แต่เธอไม่ยอมแล้วก็ไปแจ้งความดำเนินคดีกับมัน ทำให้มันตามราวีเธอจนตกอยู่ในความเครียด เธอยอมรับว่าต้องนอนร้องไห้ทุกคืน และไม่มีจิตใจที่จะสามารถใช้ชีวิตอย่างปกติ  เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นในวันวาเลนไทน์ปี 2567 จนล่าสุดพนักงานสอบสวน สน.บางขุนเทียน ได้ออกหมายจับคนร้ายรายนี้แล้วคือ นายอัฐษฎา หรือ “แดนหัวใจระเบิด” อายุ 18 ปี เธอได้ขอความช่วยเหลือมาที่เพจสืบนครบาลให้ช่วยติดตามจับกุมเพราะเจ้าตัวหนีสุดชีวิต ซึ่งเมื่อ…

โผล่อีกรายเมาแล้วขับ ชน ตร.จร.บางเขนดับ ขณะอำนวยความสะดวกงานวิ่ง  ช่วงเช้าในเวลา 06:00 น. ที่ผ่านมา ที่บริเวณถนนพหลโยธินขาออก บริเวณหน้าอู่รถประจำทางสาย 95 เกิดเหตุรถแท็กซี่ พุ่งชนตำรวจจราจรสน. บางเขน บาดเจ็บสาหัสและเสียชีวิตในเวลาต่อมา  ขณะกำลังปฎิบัติหน้าที่อำนวยความสะดวกงานวิ่ง ภายหลังมีการควบคุมตัวมีการตรวจวัดปริมาณแอลกอฮอล์แอลกอฮอล์พบสูงกว่า 287 มิลลิกรัมเปอร์เซ็นต์    สำหรับผู้เสียชีวิตรายนี้ คือ ร้อยตำรวจตรีอัสดา จำเนียรศรี อายุ 54 ปี รองสารวัตรจราจร สถานีตำรวจนครบาลบางเขน รหัส 6030  ส่วนผู้ก่อเหตุคือ นายวราบุตร์ สมแสวง อายุ 45 ปี อาชีพขับรถแท็กซี่    โดยช่วงเกิดเหตุร้อยตำรวจตรีอัสดา จำเนียรศรี กำลังปฏิบัติหน้าที่ บริเวณถนนพหลโยธินขาออก หน้าอู่รถประจำทาง ขสมก. เพื่ออำนวยความสะดวก งานเดินวิ่งการกุศล วิทยาลัยราขภัฏพระนคร และได้มี รถแท็กซี่เขียวเหลืองหมายเลขทะเบียนหนึ่ง มค 67 หมวดจังหวัดกรุงเทพมหานคร ขับมาเฉี่ยวชนทำให้บาดเจ็บสาหัส จนต้องมีการเรียกกู้ชีพจากโรงพยาบาลราชวิถี มาทำการช่วยเหลือนำส่งที่โรงพยาบาลภูมิพล แต่ผู้บาดเจ็บอยู่ในอาการสาหัสและเสียชีวิตในเวลาต่อมา   ตำรวจจึงคุมตัว นายวราบุตร์ สมแสวง ผู้ขับขี่รถแท็กซี่ ไปทำการตรวจวัดปริมาณแอลกอฮอล์พบมีปริมาณแอลกอฮอล์ในเลือดสูงถึง 287 มิลลิกรัมเปอร์เซ็นต์   ขณะนี้อยู่ระหว่างการคุมตรวจสอบปากคำและเตรียมแจ้งข้อกล่าวหาขับขี่รถขณะมึนเมาสุรา , ขับขี่โดยประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นเสียชีวิต

“บิ๊กโจ๊ก” ยอมรับคิดเรื่องสมัคร สว. เพราะช่วงนี้ว่าง จะได้ทำงานเพื่อประชาชนพลตำรวจเอกสุรเชษฐ์ หักพาล รอง ผบ.ตร.ให้สัมภาษณ์หลังเสร็จงานรดน้ำขอพรผู้สูงอายุ ที่สมาคม ชาวปักษ์ใต้ในพระบรมราชูปถัมภ์ ถึงประเด็นที่มีกระแสข่าว คนที่ปลดป้ายชื่อของบิ๊กโจ๊ก ออกจากหน้าห้องทำงานสำนักงานตำรวจแห่งชาติเป็นลูกน้องของตน โดยยืนยันว่าลูกน้องไม่ได้ปลดป้ายหน้าห้องทำงานและชื่อในเว็บไซต์ แน่นอน เพราะเมื่อตนทราบคำสั่งให้ออกจากราชการไว้ก่อนเมื่อวันพฤหัสที่ 18 เมษายน และในวันที่ 19 เมษายน ตนก็ให้ลูกน้องเข้าไปเก็บของในห้องทำงาน เช่น เอกสารส่วนตัว พระพุทธรูป รวมถึงคืนรถประจำตำแหน่ง ทันที เพราะตนเป็นคนมีวินัย ทั้งที่จะไม่คืนก็ได้เพราะยังมีสถานะเป็นรอง ผบ.ตร.อยู่ และเมื่อถามว่าจะตามหาคนปลดป้ายชื่อหรือไม่ บิ๊กโจ๊กบอกว่าส่วนตัวตนไม่ตามหา ใครทำก็รับไป แต่เราทำไปตามกรอบของกฎหมาย อะไรทำผิดกฏหมายก็ต้องว่าไป วันนี้ทุกคนอาจจะบอกว่าตัวเองทำถูก แต่คนตัดสินคือศาล ส่วนกรณีที่บอกกับสื่อมวลชนว่าจะไปยื่นฟ้อง พลตำรวจเอกกิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร รักษาราชการแทน ผบ.ตร.ที่ศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบกลาง กรณีเซ็นคำสั่งให้ตนออกจากราชการโดยมิชอบ ตอนนี้ตนขอรวบรวมเอกสารก่อน ใช้เวลาประมาณสองสัปดาห์ ส่วนประเด็นที่มีกระแสข่าวว่าจะลงสมัครสมาชิกวุฒิสภา หรือ สว. บิ๊กโจ๊กบอกว่ามีประชาชนหลายคนอยากให้ตัวเองลงสมัครเป็นผู้แทนประชาชน ซึ่งตนขอดูรายละเอียดก่อนเพราะช่วงนี้ก็ว่าง และมองว่าเป็นเรื่องที่ดีที่จะได้ทำประโยชน์เพื่อประชาชนเพราะตนยังแข็งแรงอยู่ ยังมีพลัง และมีความคิดสร้างสรรค์ ก็อยากใช้พลังทำงานให้ประชาชน  ส่วนเรื่องที่เกิดขึ้นยืนยันว่าไม่เสียกำลังใจ ตนได้กำลังใจจากพี่น้องชาวใต้ 14 จังหวัด ที่ให้กำลังใจ และเมื่อไหร่ที่ถูกรังแกก็ต้องเดินหน้าต่อสู้กับความยุติธรรมให้มากขึ้นเพื่อจะให้เป็นแบบอย่างของพี่น้องชาวใต้ ซึ่งตนอยากฝากบอกว่าไม่ต้องมารวมตัวกันให้กำลังใจ แต่ให้กำลังใจผ่านช่องทางออนไลน์ก็พอแล้วเพราะตนรับทราบ  นอกจากนี้ บิ๊กโจ๊ก ยอมรับว่าการที่ให้ตนออกจากราชการไว้ก่อนนั้น มีสิ่งเสียดายอยู่ เพราะยังมีภารกิจอีกหลายเรื่องที่ยังไม่ได้ทำในงานที่รับผิดชอบ ทั้งหนี้นอกระบบ การปราบปรามยาเสพติด หรือค้ามนุษย์ งานส่วนนั้นต้องชะงักไป และตนอยากฝากบอกพี่น้องชาวอีสานที่มาร้องเรียนว่าให้รอผมหน่อย ถ้าได้กลับไปปฎิบัติหน้าที่ก็จะกลับไปทำให้แน่นอน ยืนยันว่าตนไม่อยากได้อำนาจ แต่อยากกลับไปเพื่อทำงานให้พี่น้องประชาชน อำนาจที่ได้มาก็จะทำเพื่อประชาชนและแผ่นดิน เมื่อถามว่าทำไมยังมีประชาชนมาร้องเรียนกับตนอยู่ บิ๊กโจ๊กบอกว่าประชาชนเห็นที่ไหนให้ความเป็นธรรมก็ไปที่นั่น ตนไม่คิดที่จะใช้ประชาชนเป็นเกราะป้องกัน ส่วนคณะกรรมการสอบสวนข้อเท็จจริงชุดของ พลตำรวจเอกสราวุฒิ การพานิช รอง ผบ.ตร.ในฐานะประธานกรรมการ ที่บิ๊กต่ายตั้งขึ้นมา ในวันพรุ่งนี้ (29 เมษายน) จะมีการเรียกประชุมเพื่อกำหนดแนวทางในการสอบสวนบิ๊กโจ๊กพร้อมพวก 5 คน เป็นครั้งแรก บิ๊กโจ๊กบอกว่าไม่ได้หนักใจ ให้ตามหน้าที่ไป และตนก็ได้ทำหนังสือคัดค้านกรณีคณะกรรมการบางท่านที่เป็นคู่ขัดแย้ง และตนเชื่อมั่นในการทำงานของพลตำรวจเอกสราวุฒิ

พระพยอมเผยพระล่าสัตว์ป่าไม่มีสติสัมปชัญญะไม่รักษาศีล 5  จากกรณีที่นายวิชานนท์ แสนผาลา หัวหน้าเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าภูเขียว ทุ่งกระมัง อ.คอนสาร จ.ชัยภูมิ นำทีมเจ้าหน้าที่เข้าจับกุมแก๊งล่าสัตว์ป่าพบว่าผู้ต้องหาเป็นพระและสามเณร  ส่วนที่หลบหนีไปได้เป็นพระระดับรองเจ้าคณะจังหวัดวัดแห่งหนึ่ง    เมื่อวันที่ 27 เมษายน 2567 ผู้สื่อข่าวเดินทางไปสอบถามพระพยอม กัลยาโณ เจ้าอาวาสวัดสวนแก้ว กรณีดังกล่าวว่าเหมาะสมหรือไม่   พระพยอม กล่าวว่า ตามที่เจ้าหน้าที่ป่าอุทยานบอกว่าพระตั้งกลุ่มแก๊งค์ไม่ได้ไปธุดงค์มีการตัดชิ้นส่วนสัตว์ใส่ย่าม แบบนี้แก้ตัวไม่ขึ้นเป็นที่ลำบากใจของผู้ที่แต่งตั้งให้สมณศักดิ์ให้ยศแต่แล้วเอายศไปตั้งความอัปยศ ให้เสื่อมเสียในฐานะรองเจ้าคณะจังหวัดซึ่งควรจะเป็นต้นแบบเป็นตัวอย่างที่มีเมตตาไม่ใช่ไปล่าสัตว์ไปรังแกสัตว์ บอกว่ารักษาศีล 5 ไม่ทำร้ายสัตว์ไม่เบียดเบียนสัตว์ไม่ประทุษร้าย ไปทำซ้ำซากทำย่ามใจไม่นึกถึงธรรมวินัย เป็นพระสวดมนต์กันอยู่ทุกวันไม่พูดร้ายไม่ทำร้าย แต่นี้กลับไปทำร้ายสัตว์แล้วอ้างว่าไปธุดงค์ การธุดงค์ต้องมีลักษณะน่าเชื่อถือคือไปขูดเกลากิเลส แต่นี้ไปเป็นกลุ่มเป็นก้อนมีมหาเปรียญเรียกว่าหมดสารรูป ถ้าไม่ผิดจะหนีทำไมถ้าปล่อยไว้สัตว์ป่าจะมีอะไรเหลือใครจะคุ้มครองเป็นเรื่องของเจ้าหน้าที่รัฐต้องติดตามต้องปรามให้อยู่มิฉะนั้นจะย่ามใจไปรอบ 2 รอบ 3 อีก ทำให้สัตว์บาดเจ็บล้มตาย บวชแล้วไม่กลัวบาปไม่มีสติ สัมปชัญญะ ผิดถูกชั่วดีการทำลายสัตว์ป่ามีกฎหมายทารุณกรรมสัตว์เตะหมาตัวนึงยังดำเนินคดีได้ คงต้องรับกรรมไปตามที่ตัวเองทำ ฝากประชาชนให้แยกแยะเรื่องพระที่ทำแบบนี้ มีมานานสมัยพระพุทธเจ้าก็มี มีตำแหน่งขนาดนี้แอบไปล่าสัตว์พึ่งได้ยินครั้งแรก

หนุ่มขับรถกระบะจาก รพ.เตรียมไปให้ปากคำร้อยเวรคดีทะเลาะวิวาท เสียหลักชนตอม่อดับสลดเมื่อเวลา 07.00 น.วันที่ 28 เม.ย.พ.ต.ต.ถาวร ประพันธ์ สว.(สอบสวน) สน.สำเหร่ รับแจ้งอุบัติเหตุรถยนต์กระบะพลิกคว่ำพุ่งชนตอม่อมีผู้เสียชีวิต บริเวณใต้สถานีรถไฟกรุงธนบุรี ถนนกรุงธนบุรี แขวงคลองตันไทร เขตคลองสาน กรุงเทพมหานคร จึงเดินทางไปตรวจสอบ พร้อมด้วยอาสาสมัครมูลนิธิร่วมกตัญญและแพทย์นิติเวชโรงพยาบาลจุฬา  ที่เกิดเหตุอยู่บนถนนกรุงธนบุรี ทิศทางมุ่งหน้าสะพานสาธร แบ่งเป็นถนน 3 เลน ช่วงเกาะกลางใต้บีทีเอส กรุงธนบุรี เลนขวาสุด พบรถยนต์กระบะ ยี่ห้อ อีซูซุ รุ่นดีแม็ค สีบรอนซ์ 4 ประตู เลขทะเบียน 2 กฮ 1563 กรุงเทพมหานคร สภาพพลิกคว่ำตะแคงพังยับเยิน เกยบนขอบฟุตปาธริมถนน ตรวจสอบภายในรถพบร่างนายธนกร อนันตคำนึง อายุ 29 ปี สภาพติดค้างในรถสวมใส่เสื้อยืดฟุตบอล สีน้ำเงิน กางเกงช้างสีขาวดำเจ้าหน้าที่อาสาสมัครมูลนิธิร่วมกตัญญ ใช้อุปกรณ์ตัด-ถ่าง นำร่างออกจากรถออกมา แพทย์ทำการ CPR แต่ไม่เป็นผลเสียชีวิต โดยขาช่วงข้อเท้าทั้ง 2 ข้างหัก และลำคอของผู้ตายหัก นอกจากนี้ขอบฟุตปาธและราวกั้นสลิงริมถนนมีร่องรอยถูกรถผู้ตายเฉี่ยวชนพังเสียหาย และข้าวของในรถกระจัดกระจายเกลื่อนพื้น จากการสอบถามนายภูดิษฐ์​ อนันตคำนึง​ พ่อ​ผู้ตาย เปิดเผยกับผู้สื่อข่าว​ว่า​ เมื่อคืนที่ผ่านมา​ลูกชายได้ถูกทำร้ายร่างกาย​มีบาดแผลเย็บที่ใต้คาง ก่อนเกิดเหตุผู้ตายกำลังจะรีบเดินทางไปพบตำรวจ​ที่​ สน.พหลโยธิน​โดยผู้ตายได้มีเรื่องทะเลาะวิวาทกับคู่กรณีแถวลาดพร้าว ก่อนจะเข้าแจ้งความที่พนักงานสอบสวนของ สน. พหลโยธิน และเมื่อคืนผู้ตายได้ไปทำแผลและขอใบรับรองแพทย์ที่โรงพยาบาลบางไผ่ โดยก่อนเกิดเหตุช่วงเวลาตีห้าที่ผ่านมา ทางพนักงานสอบสวนสน. พหลโยธิน ได้มีการเรียกตัวผู้ชายเพื่อไปสอบปากคำเพิ่มเติมเกี่ยวกับคดีความที่เกิดขึ้น โดยผู้ตายขับรถออกจากบ้านย่านวงเวียนใหญ่ ในช่วงตีห้าที่ผ่านมา ก่อนจะมาประสบอุบัติเหตุครั้งนี้ เบื้องต้นทางพนักงานสอบสวนจะทำการตรวจสอบจากกล้องวงจรปิดเพื่อรวบรวมพยานหลักฐานเพิ่มเติม ส่วนร่างผู้ตายมอบให้อาสาสมัครมูลนิธิร่วมกตัญญูนำส่งชันสูตรที่นิติเวชโรงพยาบาลจุฬาเพื่อหาสาเหตุเพิ่มเติมอีกครั้ง ก่อนประสานให้ญาติรับศพไปประกอบพิธีทางศาสนาต่อไป

ตาวัย 78 ปี คร่อมจักรยานปั่นข้ามถนนไม่พ้นถูกรถปูนทับเสียชีวิตใต้ท้องรถ     เมื่อเวลา 13.00 น.วันที่ 27 เม.ย. 67 เจ้าหน้าที่ตำรวจสภ.บางบัวทอง ได้รับแจ้งเหตุรถจักรยานปั่น ถูกรถสิบล้อบรรทุกปูนทับเสียชีวิตอยู่ใต้ท้องรถ เหตุเกิดหน้าหมู่บ้านบัวทองเคหะ ต.บางบัวทอง อ.บางบัวทอง จ.นนทบุรี พร้อมด้วยแพทย์จากสถาบันนิติวิทยาศาสตร์ และเจ้าหน้าที่มูลนิธิป่อเต็กตึ๊งรีบตรวจสอบ      ภาพวงจรปิดวันที่ 27 เม.ย. 67 เวลา 11.45 น. บริเวณสี่แยกไฟแดงหน้าหมู่บ้านบัวทองเคหะ จับภาพขณะรถปูนจอดติดไฟแดงอยู่ ตาวัย 78 ปี คร่อมจักรยานปั่นและใช้เท้าประคองรถออกมาจากซอยด้านข้างเพื่อจะข้ามถนน ระหว่างนั้นสัญญาณไฟเขียวพอดีจักรยานปั่นของตาวัย 78 ปี ซึ่งกำลังจะชะลอเลี้ยวอยู่ด้านหน้ารถปูน คาดว่ารถปูนมองไม่เห็นทำให้เหยียบทับเสียชีวิตดังกล่าว      ที่เกิดเหตุเป็นถนน 4 เลน มุ่งหน้าไทรน้อย บริเวณเลนที่ 3 พบรถสิบล้อบรรทุกปูน สีฟ้า หมายเลขทะเบียน 70-6846 นนทบุรี บริเวณใต้ท้องรถพบรถจักรยานปั่น สีเขียว สภาพรถพังยับ ใกล้กันพบผู้เสียชีวิตทราบชื่อคือนายทวี ศรีเพ็ญ อายุ 78 ปี บ้านเลขที่ 226 /14 หมู่4 ต.บางบัวทอง อ.บางบัวทอง จ.นนทบุรี สภาพศพนอนหงายเสียชีวิต สวมเสื้อยืดแขนสั้นสีเทา ใส่กางเกงขายาวสีน้ำตาล พบบาดแผลบริเวณลำตัว      นายอำพร สุนทรวิลัย อายุ 29 ปี คนขับรถบรรทุกปูน กล่าวว่า ตอนเกิดเหตุตนกำลังขับรถกลับแคมป์คนงาน รถติดอยู่ตรงไฟแดง พอไฟเขียวออกตัวตามปกติเห็นรถเล็กออกตัวไปก่อน ตนขับตามรู้สึกเหมือนทับอะไรสักอย่างแต่มองไม่เห็นว่าทับคนตายเลยรีบลงมาดูตกใจมาก พบว่าตาถูกรถตนทับเสียชีวิตอยู่ใต้ท้องรถ       เบื้องต้นทางเจ้าหน้าที่ตำรวจ ได้ตรวจสอบพยานหลักฐานในที่เกิดเหตุ และจะตรวจสอบกล้องวงจร ปิดเพื่อหาสาเหตุที่แท้จริงต่อไป

บุกค้นโรงงานรีไซเคิลขยะพลาสติกเถื่อน จ.ชลบุรี  หลังพบว่ายังแอบประกอบกิจการสร้างความเดือนร้อนให้ชุมชนกองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง โดย กองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (บก.ปทส.) ภายใต้การอำนวยการของ พล.ต.ท.จิรภพ ภูริเดช ผบช.ก., พล.ต.ต.วิวัฒน์ ชัยสังฆะ รอง ผบช.ก., พล.ต.ต.วัชรินทร์ พูสิทธิ์ ผบก.ปทส., พ.ต.อ.มงคล พรานสูงเนิน รอง ผบก.ปทส., พ.ต.อ.อรุณ วชิรศรีสุกัญยา รอง ผบก.ปทส.เจ้าหน้าที่ชุดตรวจค้นตำรวจ กก.2 บก.ปทส. นำโดย พ.ต.อ.วิญญู แจ่มใส ผกก.2 บก.ปทส. พร้อมด้วยพ.ต.ท.กรกช ยงยืน รอง ผกก.2 บก.ปทส., พ.ต.ต.นัธทวัฒน์ สุรนารถ สว.กก.2 บก.ปทส. และชุดปฏิบัติการที่ 3 กก.2 บก.ปทส. (ชลบุรี-ระยอง-จันทบุรี-ตราด)ขออนุมัติหมายค้นจากศาลจังหวัดชลบุรี ตามหมายค้น ศาลจังหวัดชลบุรี ที่ ค.122/2567 ลงวันที่ 25 เมษายน 2567  สถานที่ตรวจค้น โรงงานในพื้นที่ ม.6 ต.คลองกิ่ว อ.บ้านบึง จ.ชลบุรี    ​พบการกระทำความผิด ฝ่าฝืนคำสั่งตาม ม.37 วรรคหนึ่ง พรบ.โรงงาน 2535 (ตั้งและประกอบกิจการโดยไม่ได้รับอนุญาต มีคำสั่งให้ระงับการกระทำที่ฝ่าฝืน)         พฤติการณ์ เจ้าหน้าที่ตำรวจกองกำกับการ 2 กองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (กก.2 บก.ปทส.) ได้รับแจ้งจากประชาชนในชุมชนในพื้นที่ ม.6 ต.คลองกิ่ว อ.บ้านบึง จ.ชลบุรี ว่ามีการลักลอบประกอบกิจการโรงงานโดยไม่ได้รับอนุญาต โดยจากการตรวจสอบเบื้องต้นเมื่อวันที่ 21 มีนาคม 2567 สำนักงานอุตสาหกรรมจังหวัดชลบุรี ได้ออกคำสั่งตาม พรบ.โรงงาน พ.ศ.2535 ให้ระงับการกระทำที่ฝ่าฝืน (ตั้งและประกอบกิจการโรงงานโดยไม่ได้รับอนุญาต)ต่อมา เจ้าหน้าที่เจ้าหน้าที่ตำรวจกองกำกับการ 2 กองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (กก.2 บก.ปทส.) ได้ลงพื้นที่ตรวจสอบ พบว่ายังมีการลักลอบประกอบกิจการโรงงานอยู่ จึงได้ขออนุมัติหมายค้น และศาลจังหวัดชลบุรีได้อนุมัติหมายค้น ให้ค้นโรงงานดังกล่าว      ​จากนั้น เจ้าหน้าที่ชุดตรวจค้น พร้อมด้วยเจ้าหน้าที่กรมโรงงานอุตสาหกรรม และเจ้าหน้าที่สำนักงานอุตสาหกรรมจังหวัดชลบุรี ได้นำหมายค้นเข้าทำการตรวจค้นโรงงานดังกล่าว ปรากฏเมื่อไปถึง ไม่พบผู้รับเป็นเจ้าของโรงงาน จึงได้เชิญตัวแทนเจ้าของที่ดินนำตรวจค้น        ​ผลการตรวจค้นพบ1. พบร่องรอยการประกอบกิจการภายในสถานที่ เช่น พบว่าเครื่องจักรมีการเปิดใช้งานไว้ มีร่องรอยการคัดแยกขยะ มีร่องรอยการใช้เครื่องจักรในการบดย่อยขยะ เป็นต้น2. พบหลักฐานการลงเวลาเข้าทำงานของคนงาน จำนวน 79 คน3. พบรถบรรทุกขนส่งสินค้า จำนวน 5 คัน จอดอยู่ในโรงงานในลักษณะนำของมาลงเพิ่ม และรอรับผลิตภัณฑ์พลาสติกที่ถูกที่รีไซเคิลแล้วออกจากโรงงาน4. ยึดอายัดเครื่องจักร วัตถุดิบ ผลิตภัณฑ์ที่ใช้ในการประกอบกิจการไว้ด้วยแล้ว5. ได้มีการเก็บตัวอย่าง 3 ตัวอย่าง เป็นของแข็ง 1 ตัวอย่าง และของเหลว 2 ตัวอย่าง เพื่อนำมาตรวจวิเคราะห์ เนื่องจากพบว่ามีการระบายน้ำออกนอกบริเวณสถานประกอบการสู่แหล่งน้ำสาธารณะ       ​ซึ่งจากผลการตรวจค้นพบว่า สำนักงานอุตสาหกรรมจังหวีดชลบุรีอาศัยอำนาจตาม มาตรา 37 วรรคหนึ่ง มีคำสั่งให้หยุดประกอบกิจการโรงงาน จนกว่าจะดำเนินการขออนุญาตให้ถูกต้อง แต่ผลการตรวจค้นยังพบว่า มีการดำเนินกิจการอยู่ จากการกระทำดังกล่าวพบว่าโรงงานดังกล่าวกระทำความผิดตาม มาตรา 57 พรบ.โรงงาน พ.ศ.2535 ในข้อหา ฝ่าฝืนคำสั่งที่ออกตาม ม.37 วรรคหนึ่ง ซึ่งสำนักงานอุตสาหกรรมจังหวัดชลบุรี จะได้รวบรวมพยานหลักฐานนำมาแจ้งความร้องทุกข์ดำเนินคดีที่ กก.2 บก.ปทส. เพื่อนำตัวผู้กระทำความผิดมาดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป​

รวบแล้วมือปาขวดโซดาบนสะพาน สารภาพทำไปเพราะเมา ไม่พอถูกแจ้งลักทรัพย์หลังขโมยปืนพี่สาวแฟนที่เป็นตำรวจหญิงความคืบหน้าล่าสุดเมื่อเวลา 22.00 น. วันที่ 26 เม.ย. 67 ที่ สภ.ปากเกร็ด จ.นนทบุรี พ.ต.ท.ติรัส ตฤณเตชะ รอง ผกก.สส.สภ.ปากเกร็ด พ.ต.ต.ดิลก ลาดศิลา สว.สส.สภ.ปากเกร็ด พร้อมชุดสืบสวนสภ.ปากเกร็ด ได้จับกุมตัวนายนิพนธ์ฐากิ เชือมวงค์ หรือนายอัฐ อายุ 26 ปี การ์ดร้านเหล้าชื่อดัง พร้อมของกลาง คือ 1.อาวุธปืนลูกโม่ ขนาด.38 บรรจุในรังเพลิง จำนวน 5 นัด และเครื่องกระสุนปืนอีกจำนวน 12 นัด 2.รถจยย.สีน้ำเงิน-ดำ ทะเบียน 2 ขส 3568 กทม. 3.เสื้อเกราะยี่ห้อ Kenya จำนวน 1 ตัว ตำรวจแจ้งข้อกล่าวหา ลักทรัพย์หรือลักของโจร , ทำให้เสียทรัพย์ , มีอาวุธปืนและเครื่องกระสุนไว้ในความครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาต , พกพาอาวุธปืนติดตัวไปในเมือง หมู่บ้านหรือทางสาธารณะโดยไม่ได้รับใบอนุญาต , ครอบครองยุทธภัณฑ์ (เสื้อเกราะ) โดยไม่ได้รับอนุญาต โดยจับกุมตัวได้ที่ร้านเหล้าชื่อดังย่านบางใหญ่ จ.นนทบุรี  สืบเนื่องจากกล้องวงจรปิด CCTV เทศบาลนครปากเกร็ด บันทึกภาพเหตุการณ์วันที่ 20 เม.ย. 67 ที่ผ่านมา เวลาประมาณ 04.00 น. นายนิพนธ์ฐากิ เชือมวงค์ หรือนายอัฐ ได้ขี่จยย.กลับจากที่ทำงานร้านเหล้าชื่อดังย่านบางใหญ่ ขึ้นสะพานพระราม 4 มุ่งหน้าห้าแยกปากเกร็ด ขณะที่มาถึงช่วงก่อนลงสะพานพระราม 4 ได้โยนขวดโซดาจากบนสะพานพระราม 4 ลงมาด้านล่าง ซึ่งไปตกแตกอยู่บริเวณหน้าตลาดพิชัยปากเกร็ด ขณะที่พ่อค้า-แม่ค้า กำลังตั้งร้านขายของ ทำให้มีผู้เสียหายได้รับถูกขวดโซดากระแทกรถ ทำให้ชาวบ้านหวาดผวากับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น โดยผู้ต้องหาก่อเหตุลักษณะนี้ 3 วัน ในระหว่างวันที่ 20-22-24 เม.ย. 67 ช่วงเวลาประมาณ 04.30 น. ของทุกวัน และหลังก่อเหตุผู้ต้องหาจะขับรถจยย.วนมาตรวจจุดที่ปาขวดลงด้านล่างทุกครั้ง เพื่อเช็คว่ามีใครได้รับบาดเจ็บหรือไม่ หลังเกิดเหตุทางด้านเจ้าหน้าที่ตำรวจฝ่ายสืบสวนสภ.ปากเกร็ด ได้ทำการสืบสวนสอบสวนไล่กล้องวงจรปิดจนกระทั่งทราบตัวผู้ก่อเหตุ ว่าได้ทำงานเป็นเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยที่ร้านเหล้าชื่อดัง ต.เสาธงหิน อ.บางใหญ่ จ.นนทบุรี จึงได้รายงานให้ผู้บังคับบัญชาทราบและร่วมกันเดินทางไปทำการตรวจสอบ เมื่อไปถึงพบนายนิพนธ์ฐากิ หรือนายอัฐ อยู่ที่หน้าร้านดังกล่าวจริง เจ้าหน้าที่ตำรวจจึงได้เข้าไปแสดงตัวว่าเป็นเจ้าพนักงานตำรวจ ก่อนขอทำการตรวจค้นตัว จากการตรวจค้นพบของกลางอาวุธปืน และเครื่องกระสุนปืนอยู่ในเสื้อเกราะ ที่นายนิพนธ์ฐากิ หรือนายอัฐ สวมใส่อยู่จริง จึงได้สอบถามนายนิพนธ์ฐากิ หรือนายอัฐ รับว่าอาวุธปืนและเครื่องกระสุนปืนดังกล่าวเป็นของพี่สาวที่เป็นตำรวจของแฟนตนเอง และจากการสอบถามนายนิพนธ์ฐากิ หรือนายอัฐ รับว่าตนเองไม่เคยได้รับอนุญาตจากนายทะเบียนให้มีและใช้อาวุธปืนและเครื่องกระสุนปืนแต่อย่างใด เจ้าหน้าที่ตำรวจจึงได้ควบคุมตัวพร้อมด้วยของกลางมาที่สภ.ปากเกร็ด หลังจากตำรวจทำการตรวจสอบอาวุธปืนพบว่า ปืนดังกล่าวถูกทางเจ้าของปืนซึ่งพี่สาวของแฟนผู้ก่อเหตุ และเป็นตำรวจหญิง สังกัด สอท. ได้แจ้งหายกับพนักงานสอบสภ.ปากเกร็ด เมื่อวันที่ 29 ส.ค. 66 ว่าอาวุธปืนได้หายหลังเก็บไว้ที่ลิ้นชักห้องนอน ในหมู่บ้านแห่งหนึ่งย่านปากเกร็ด ตำรวจจึงทำการแจ้งข้อกล่าวหาและอายัติตัวนำส่งพนักงานสอบสวน สภ.บางใหญ่ เพื่อดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป นายนิพนธ์ฐากิ หรือนายอัฐ (ผู้ก่อเหตุ) กล่าวว่า ตนเป็นการ์ดอยู่ร้านเหล้าแถวบางใหญ่ ยอมรับว่าเป็นคนปาขวดโซดาลงมาจากสะพานพระราม 4 ทั้ง 3 ครั้ง ยืนยันว่าไม่ได้มีเรื่องหรือทะเลาะกับใคร ที่ทำไปแบบนั้นเกิดจากความเมาทำให้ขาดสติ และไม่อยากให้แฟนที่อยู่บ้านรู้ว่าตนดื่มเหล้ามา สาเหตุที่นำขวดโซดามาเพราะว่าทุกครั้งที่ดื่มเหล้าแล้วมิกเซอร์เหลือ ก็จะนำขวดโซดาติดมือมาด้วย ก่อนถึงบ้านกลัวถูกจับได้ว่าดื่มเหล้าเลยโยนขวดโซดาทิ้งกลางทางไม่ได้คิดอะไร ซึ่งตอนนี้สื่อได้นำเสนอเรื่องที่ตนก่อเหตุไปหลายช่อง จึงอยากขอโทษทุกคนที่ทำให้เดือดร้อน รับปากจะไม่ทำแบบนี้อีก ส่วนเรื่องอาวุธปืนทางผู้สื่อข่าวพยายามสอบถามทางนายอัฐ (ผู้ก่อเหตุ) ว่าได้ก่อเหตุลักทรัพย์ปืนพี่สาวของแฟนตัวเองที่เป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจมาหรือไม่ ทางนายอัฐตอบเพียงประโยคเดียวสั้นๆว่า “ถ้าแฟนรู้ผมตายแน่”

CHANGE LANGUAGE
Powered by
คนข่าวออนไลน์ khonkhao.com
ตีแผ่ ทุกเรื่องราว เจาะลึกทุกความจริง ช่วยเหลือทุกพื้นที ด้วยทีมข่าวมืออาชีพ
บริการของเรา
รูปภาพของเรา
ที่ตั้งของเรา
บัญชีชำระเงิน

คนข่าวออนไลน์ khonkhao.com

ตีแผ่ ทุกเรื่องราว เจาะลึกทุกความจริง ช่วยเหลือทุกพื้นที ด้วยทีมข่าวมืออาชีพ

แชร์หน้านี้
โหลดหน้าใหม่
คัดลอกลิงก์