บทความทั้งหมด

1,195 รายการ

รวบจิ๊กโก๋ท่าน้ำนนท์ ประวัติโชกโชน รวมตัวเสพยา-ทำร้าย ปล้นคนไม่เลือกหน้า ด้วยนโยบายของ พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ รรท.ผบ.ตร., พล.ต.อ.ธนา ชูวงศ์ รอง ผบ.ตร., และ พล.ต.ท.สำราญ นวลมา ผู้ช่วย ผบ.ตร. ให้ปราบปรามอาชญากรรมที่กระทำความผิดสร้างความเดือดร้อนแก่พี่น้องประชาชนผู้สุจริตสร้างความหวาดกลัว  พล.ต.ท.ธิติ แสงสว่าง ผบช.น., พล.ต.ต.นพศิลป์ พูลสวัสดิ์ รอง ผบช.น. สั่งการให้ พล.ต.ต.ธีรเดช ธรรมสุธีร์  ผบก.สส.บช.น. ร่วมกับ พล.ต.ต.สามารถ พรหมชาติ ผบก.น.6  บูรณาการชุดปฏิบัติการสืบสวน สืบนครบาล สืบ บก 6. และ สน. สำราญราษฎร์ดำเนินการจับกุมในครั้งนี้                เมื่อวันที่ 26 เมษายน 2567  พล.ต.ท.ธิติ แสงสว่าง ผบช.น., พล.ต.ต.นพศิลป์ พูลสวัสดิ์ รอง ผบช.น., พล.ต.ต.สามารถ พรหมชาติ ผบก.น.6 พล.ต.ต.ธีรเดช ธรรมสุธีร์ ผบก.สส.บช.น., พ.ต.อ.นริศ ปรารถนาพรรอง ผบก.น.6.  พ.ต.อ.อิสเรศ ปาลาพงศ์ รอง ผบก.สส.บช.น.,  พ.ต.อ.อรรชวศิษฏ์   ศรีบุณยมานนทน์ ผกก.สส.3 บก.สส.บช.น.,พ.ต.อ.ทศพล อำไพพิพัฒน์กุล ผกก.สน.สำราญราษฏร์, พ.ต.อ.เชิดศักดิ์ รอดเข็ม ผกก.สส.บก.น.6บช.น.กับเจ้าหน้าที่ตำรวจ บก .สส.บช.น. สืบ บก 6. สืบจังหวัดนนทบุรี และ สน. สำราญราฏร์ สืบสวนจับกุมตัว             นายบี  (นามสมมติ )อายุ 16 ปี ที่อยู่ถ.บางกรวย-ไทรน้อย ต.บางกรวย อ.บางกรวย จ.นนทบุรี ผู้ต้องหาตามหมายจับศาลเยาวชนและครอบครัว ที่ 51/2567 ลงวันที่ 24 เมษายน 2567           กระทำความผิดฐาน ปล้นทรัพย์โดยใช้อาวุธในเวลากลางคืน “เป็นเหตุให้ผู้อื่นได้รับอันตรายแก่กายสาหัส, ร่วมกันพยายามฆ่าผู้อื่น เพื่อความสะอวกในการที่จะกระทำผิดอย่างอื่นหรือเพื่อปกปิดความผิดอื่นของตน และร่วมกันพาอาวุธไปในเมือง หมู่บ้าน หรือทางสาธารณะโดยไม่มีเหตุสมควร”          ด้วยเมื่อวันที่ 22 เมษายน 2567 เวลาประมาณ 06.30 น. สน.สำราญราษฎร์ ได้รับแจ้งเหตุกลุ่มคนร้ายเป็นชายวัยรุ่น 3 คน สวมเสื้อแต่งกายมิดชิดร่วมกันปล้นทรัพย์ผู้เสียหายเป็นคนขับรถรถแท็กซี่ โดยคนร้ายได้ใช้อาวุธมีดแทง และชกต่อย  บริเวณ หน้าซอยตรอกไข่ ถนนบำรุงเมือง แขวงสำราญราษฎร์ เขตพระนคร กทม. ได้เงินสด พร้อมโทรศัพท์มือถือไป จนเป็นเหตุให้ผู้เสียหายได้รับบาดเจ็บสาหัสนำตัวส่งโรงพยาบาลในเวลาต่อมา    หลังจากกลุ่มคนร้ายได้ก่อเหตุ ช่วงเวลาระหว่างหลบหนีพบผู้เสียหายอีกรายนึงซึ่งเป็นเด็กปั้มฯ ที่เดินผ่านมา ได้ใช้อาวุธมีดจี้ไปที่ลำคอ และชกต่อยบริเวณหลังศาลาว่าการกรุงเทพ แขวงเสาชิงช้า เขตพระนคร กทม.  ปล้นโทรศัพท์มือถือ แล้วขึ้นรถสาธารณะที่ขับผ่านมาหลบหนีไป   สืบสวนทราบว่าผู้ก่อเหตุ มี 3 คน   ชายสวมเสื้อแจ๊คเก๊ทสีขาว  ,ชายสวมเสื้อสีขาว-เทา  แบะชายสวมเสื้อฮูดสีดำ 1 คน  หลบหนีขึ้นรถเมลล์สาย 12  ไป         เมื่อทราบเหตุแล้ว พล.ต.ท.ธิติ แสงสว่าง ผบช.น. ไม่ยอมนิ่งนอนใจได้สั่งการให้รวมนักสืบ ของ บช.น. เร่งสืบสวนติดตามพิสูจน์ทราบเพื่อจับกุมคนร้ายโดยเร็วไวต่อมาเจ้าหน้าที่ตำรวจชุดจับกุมสืบสวนทราบว่ากลุ่มคนร้ายที่ร่วมกันก่อเหตุดังกล่าวมี นายบี ผู้ต้องหา อายุ 16 ปี, นายซี อายุ 18 ปี และนายนพพร หรืออาร์ม ทองภิลา อายุ 23 ปี เมื่อรวบรวมพยานหลักฐานเกี่ยวกับคดีได้รัดกุมจนสามารถยื่นคำร้องให้ศาลพิจารณาออกหมายจับกลุ่มคนร้ายทั้ง 3 คนได้แล้ว เจ้าหน้าที่ตำรวจไม่รอช้าวันนี้…

รวบโจ๋ตีนแมวมืออาชีพ ย่องตระเวนลักทรัพย์ หลายหมู่บ้านมูลค่ากว่า 1.1 ล้านบาท    วันนี้ (26 เม.ย. 67) เวลา 19.00 น. ที่สภ.ชัยพฤกษ์ จ.นนทบุรี พ.ต.อ.สมชาย ชูแก้ว ผกก.สภ.ชัยพฤกษ์ พ.ต.ท.ชัยรัตน์ หิรัญบูรณะ รองผกก.สส.สภ.ชัยพฤกษ์ พ.ต.ท.สิรวัฒน์ วงศ์ชยภาวัฒน์ สว.สส.สภ.ชัยพฤกษ์ พร้อมกำลังตำรวจฝ่ายสืบสวน ได้ร่วมกันจับกุมตัวนายศิวกร หรือเดฟ เกียรติอุทัย อายุ 21 ปี ตามหมายจับศาลจังหวัดนนทบุรี เลขที่ จ.360/2567 ลงวันที่ 17 เม.ย. 67 ข้อหาลักทรัพย์ในเคหสถาน พร้อมของกลางทั้งหมดจำนวน 14 รายการ ได้แก่ 1.เงินราง (เงินโบราณ) 2.เหรียญหลวงปู่สุข 3. เหรียญพระพุทธชินราช 4.สมเด็จเนื้อผง 5.เหรียญรัชกาลที่ 9 6.รูปถ่ายพระ 7.นางพญาเนื้อดิน 2 องค์ 8.พระสิวลี 9.แหวนหลวงพ่อเชิญ 10.เหรียญเก่า 1 บาท 11.นาฬิกาข้อมือยี่ห้อ วิคตอรี่น็อค 12.นาฬิกาข้อมือ คล้ายยี่ห้อโอเมก้า 13.นาฬิกาข้อมือ คล้ายยี่ห้อโรเล็กซ์ 14.เสื้อฮู้ดสีกรม ยืด 1 ตัว และกางเกงที่ใช้ในวันก่อเหตุ โดยจับกุมตัวได้ที่ ห้างสรรพสินค้าบิ๊กซี บางใหญ่ อ.บางใหญ่ จ.นนทบุรี       สืบเนื่องจากเมื่อวันที่ 25 เม.ย. 67 เวลา 11.00 น. นายศิวกร หรือเดฟ ได้ก่อเหตุลักทรัพย์ หมู่บ้านดิ เอมเมอรัลด์ พาร์ค ม.2 ต.บางพลับ อ.ปากเกร็ด จ.นนทบุรี นาฬิกา จำนวน 11 เรือน ราคาประมาณ 300,000 บาท 1.พระเลี่ยมทองล้อมเพชร (เฉพาะทองล้อมเพชรไม่รวมพระ) ราคาประมาณ 150,000 บาท 2.แหวนเพชร ตัวเรือนทองคำ ราคาประมาณ 250,000 บาท 3. พระสมเด็จวัดระฆังเลี่ยมทอง (เฉพาะทองไม่รวมพระ) ราคาประมาณ 20,000 บาท 4.พระสิวลีเลี่ยมทอง (เฉพาะทองไม่รวมพระ) ราคาประมาณ 3,000 บาท 5.พระเครื่อง 1 กระเป๋าเดินทาง รวมราคาทั้งหมดประมาณ 300,000 บาท 6. เข็มขัดเงินถัก ราคาประมาณ 25,000 บาท รวมมูลค่าความเสียหายประมาณ 1,048,000 บาท      ต่อมาวันที่ 28 เม.ย. 67 เวลาประมาณ 10.06 น. นายศิวกร หรือเดฟ ได้ก่อเหตุลักทรัพย์ในหมู่บ้านลภาวัล 10 ม.2 ต.บางพลับ อ.ปากเกร็ด จ.นนทบุรี (2 ครั้ง) 1. เงินเหรียญชนิดต่างๆ ประมาณ 400 บาท 2.เงินสดประมาณ 2,500 บาท รวมมูลค่าทรัพย์สินที่ถูกประทุษร้ายประมาณ 2,900 บาท      ล่าสุดวันที่ 4 มี.ค. 67 เวลาประมาณ 13.11 น. ภาพจากกล้องวงจรปิดบันทึกภาพนายศิวกร หรือเดฟ (ผู้ต้องหา) สวมเสื้อสีฮู้ดสีดำ ใส่แมสก์ปิดบังใบหน้า สวมกางเกงขาสั้น ได้ก่อเหตุปืนข้ามกำแพงวิ่งหนีสุนัขภายในหมู่บ้านลภาวัล 9 ต.บางพลับ อ.ปากเกร็ด จ.นนทบุรี ก่อเหตุเข้าลักทรัพย์ในหมู่บ้านเดียว ทั้งหมด 5 หลัง โดยได้ทรัพย์สินย์ เป็น iPad Pro ขนาด 10.5 นิ้ว ราคาประมาณ 30,000 บาท      ทางด้านพ.ต.ท.ชัยรัตน์…

บุกทลายแหล่งผลิต ”แฮปปี้วอเตอร์ชนิดชงนํ้า“ จำหน่ายให้นักท่องเที่ยวตามสถานบันเทิงเจ้าหน้าที่ตำรวจกก.สส.บก.น.1 บุกทลายแหล่งผลิต ”แฮปปี้วอเตอร์ชนิดชงนํ้า“ รายใหญ่ย่ายฝั่งธน พร้อมจับกุมนักค้ายาวัย 30 ปี สารภาพผสมยาเสพติดเอง ก่อนเอาไปขายให้นักท่องเที่ยวใช้ในผับ  เมื่อวันที่ 26 เม.ย. พล.ต.ท.ธิติ แสงสว่าง ผบช.น. พล.ต.ต.อัฏธพร วงศ์ศิริปรีดา ผบก.น.1 สั่งการให้ พ.ต.อ.วิชัย สนสกุล ผกก.สส.บก.น.1 พ.ต.ท.อติชาติ แย้มผกา พ.ต.ท.มนูญ กู้เมือง รอง ผกก.สส.บก.น.1 พ.ต.ต.เอกยุทธ อดิสร สว.กก.สส. บก.น.1 นำกำจับกุม นายกฤษฎา (สงวนนามสกุล) หรือธัน อายุ 30 ปี พร้อมของกลาง แฮปปี้วอเตอร์ชนิดผงชงน้ำดื่ม จำนวน 205 ซอง รวมจำนวนน้ำหนัก  2,397 กรัม ยาบ้า 570 เม็ด ยาไอซ์ 32.5 กรัม และอุปกรณ์ในการแพ็คซีนถุงแบ่งบรรจุอีกจำนวนหนึ่ง  สืบเนื่องจากตามนโยบายของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ และของรัฐบาล นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ดำเนินการปราบปรามยาเสพติดอย่างจริงจัง โดยสืบทราบว่าผู้ต้องหามีพฤติการณ์ลักลอบจำหน่ายยาเสพติดให้กับกลุ่มนักท่องเที่ยวในสถานบันเทิง จึงติดตามไปจับกุมได้ที่ห้องพักแห่งหนึ่งย่านเพชรเกษม กทม. พร้อมของกลางดังกล่าว  พ.ต.อ.วิชัย ได้สอบสวนผู้ต้องหาเพื่อขยายผล โดยนายธัน ยอมรับว่าได้นำนำส่วนผสมยาเสพติดมาผลิตเป็นแฮปปี้วอเตอร์จริง เมื่อนำส่วนผสมต่างๆมาบรรจุภายในซองเสร็จแล้วนำไปจำหน่ายให้ลูกค้าในสถานบันเทิงราคาซองละ 500 บาท ผลิตครั้งละประมาณ 100-200 ซอง ลักลอบผลิตมาแล้ว 3-4 เดือน เงินที่ได้นำไปใช้จ่ายเที่ยวเตร่ในชีวิตประจำวัน เบื้องต้นจึงได้แจ้งข้อกล่าวหา “จำหน่ายยาเสพติดให้โทษประเภท 1 (ยาไอซ์,ยาบ้า,แฮปปี้วอเตอร์) โดยการมีไว้ ในครอบครองเพื่อจำหน่ายโดยไม่ได้รับอนุญาต อันเป็นการกระทำเพื่อการค้า และเสพยาเสพติดให้โทษประเภท 1 (ยาไอซ์)โดยผิดกฎหมาย” นำส่งพนักงานสอบสวน สน.บุปผาราม เพื่อดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป.

ปปส.ยึดเคตามีน 320 กิโลกรัม ซุกซ่อนในฐานรองหุ่นยนต์เหล็ก เตรียมจัดส่งปลายทางไต้หวันวันศุกร์ที่ 26 เมษายน 2567 ณ สำนักงาน ป.ป.ส. พลตำรวจโท ภาณุรัตน์ หลักบุญ (เลขาธิการ ป.ป.ส.) พร้อมด้วย นายปฤณ เมฆานันท์ ผู้อำนวยการสำนักปราบปรามยาเสพติด สำนักงาน ป.ป.ส. พ.ต.อ.วรัตม์ เจตนานนท์ ผู้กำกับการ 3 กองบังคับการตำรวจปราบปรามยาเสพติด 1 กองบัญชาการตำรวจปราบปรามยาเสพติด นายพันธ์ทอง ลอยกุลนันท์ ที่ปรึกษาด้านการพัฒนาและบริหารการจัดเก็บภาษี กรมศุลกากร แถลงผลการ ตรวจยึดคีตามีน 320 กิโลกรัม ซุกซ่อนในฐานรองหุ่นยนต์เหล็ก เตรียมจัดส่งไปปลายทางไต้หวัน ผ่านการขนส่งทางเรือ และขยายผลจับกุมผู้ส่งชาวไทย 1 คน เหตุเกิดที่ บริษัทขนส่งเอกชน ในพื้นที่ กทม.  พล.ต.ท. ภาณุรัตน์ หลักบุญ  เลขาธิการ ป.ป.ส. กล่าวว่า การตรวจยึดคีตามีน 320 กิโลกรัม ดังกล่าวสืบเนื่องจาก สำนักงาน ป.ป.ส. ร่วมกับ หน่วยปฏิบัติการ SITF และ เจ้าหน้าที่ตำรวจสหพันธ์ออสเตรเลีย (Australian Federal Police : AFP) ปฏิบัติการเฉพาะกิจร่วม ไทย-ออสเตรเลีย ว่าด้วยความร่วมมือด้านยาเสพติดการฟอกเงิน และอาชญากรรมข้ามชาติ (Taskforce Storm) โดยเมื่อวันที่ 12 มีนาคม 2567 ทางการออสเตรเลียตรวจยึดไอซ์ 108 กิโลกรัม ซุกซ่อนอยู่ในเครื่องแปรรูปอาหาร ส่งมาจากประเทศไทย ซึ่ง สำนักงาน ป.ป.ส. ได้ดำเนินการสืบสวนขยายผลจนกระทั่งทราบว่า ผู้ดำเนินการจัดส่งสินค้าดังกล่าวเป็นหญิงชาวไทย จึงดำเนินการสืบสวนติดตามพฤติการณ์เรื่อยมา จนกระทั่งวันที่ 24 เมษายน 2567 ทราบว่าหญิงไทยคนดังกล่าว ได้ดำเนินการจัดส่งสินค้าประเภทหุ่นยนต์เหล็ก ไปยังปลายทางประเทศไต้หวัน จึงเป็นเหตุต้องสงสัยว่าจะมีการซุกซ่อนยาเสพติดไปกับสินค้าดังกล่าว เจ้าหน้าที่ ป.ป.ส. จึงบูรณาการความร่วมมือกับ กองบัญชาการตำรวจปราบปรามยาเสพติด กรมศุลกากร กระทรวงยุติธรรมไต้หวัน (Ministry of Justice Investigation Bureau : MJIB) ดำเนินการตรวจสอบสินค้าดังกล่าว ผลการตรวจสอบพบ คีตามีน 320 กิโลกรัม ซุกซ่อนในฐานรองหุ่นยนต์เหล็ก (ค่าใช้จ่ายในการขนส่งสินค้าครั้งนี้ 180,000 บาท) เจ้าหน้าที่จึงดำเนินการตรวจยึดยาเสพติดดังกล่าว และดำเนินการขยายผลสืบสวนติดตามจับกุมผู้ส่งสินค้าที่ซุกซ่อนยาเสพติดได้ ในวันที่ 25 เมษายน 2567 โดยผู้ต้องหาให้การว่าได้รับคำสั่งจากหญิงชาวลาวให้ดำเนินการจัดส่งสินค้า  ที่ผ่านมาในห้วงปี 2565 – 2567 ภายใต้โครงการความร่วมมือด้านปราบปรามและสกัดกั้นยาเสพติดในพื้นที่ท่าเรือ (Seaport Interdiction Task Force : SITF) ได้ดำเนินการสกัดกั้นยาเสพติดที่เตรียมส่งออกไปยังประเทศที่สาม ผ่านท่าเรือพาณิชย์ โดยปริมาณยาเสพติดเป็นประเภท ไอซ์กว่า 1.8 ตัน เฮโรอีน 265 กิโลกรัม ประเทศปลายทาง คือ ออสเตรเลีย ไต้หวัน มาเลเซีย ฮ่องกง โดยในช่วงหลังพบว่าขบวนการค้ายาเสพติดใช้การลักลอบลำเลียงยาเสพติดผ่าน ท่าเรือเอกชน/ ท่าเรือส่วนบุคคล ในพื้นที่ภาคตะวันออก (จ.จันทบุรี จ.ระยอง จ.ตราด และ จ.ฉะเชิงเทรา) โดยบรรทุกยาเสพติดใส่ในเรือบรรทุกสินค้า (เรือประมง, เรือหางยาว, เรือสปีดโบ๊ท) และลำเลียงไปส่งยังเรือเดินสมุทรขนาดใหญ่ที่จอดรออยู่บริเวณน่านน้ำสากล เพื่อลำเลียงไปยังปลายทางประเทศที่สาม เนื่องจากสามารถลำเลียงยาเสพติดได้ในปริมาณมาก และบริเวณเขตน่านน้ำสากลที่ใช้ในการขนถ่ายยาเสพติด ไม่มีอำนาจอธิปไตยและรัฐใด ๆ ควบคุม ส่งผลให้การลักลอบขนส่งยาเสพติดทางทะเลอาจมีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้นและเป็นสถานการณ์ที่ต้องเฝ้าระวัง ซึ่งในห้วงปี 2565 – 2567 พบสถิติการจับกุมและตรวจยึดยาเสพติดประเภท ไอซ์กว่า 4 ตัน คีตามีนกว่า 2 ตัน   พล.ต.ท.ภาณุรัตน์ กล่าวว่า ปัจจุบันปัญหาการค้ายาเสพติดในลักษณะเครือข่ายอาชญากรรมข้ามชาติกระจายตัวอยู่ทั่วทุกภูมิภาค ลักลอบลำเลียงยาเสพติดโดยใช้ไทยเป็นทางผ่านไปยังประเทศที่สามยังพบอย่างต่อเนื่อง ทั้งผ่านการขนส่งทางพัสดุภัณฑ์ระหว่างประเทศ ผ่านการขนส่งทางอากาศ และ ซุกซ่อนในสินค้าต่าง ๆ ผ่านการขนส่งทางเรือ ในการนี้ สำนักงาน ป.ป.ส. ได้มีโครงการความร่วมมือด้านปราบปรามและสกัดกั้นยาเสพติดพื้นที่ท่าอากาศยาน (Airport Interdiction Task force…

"ทนายพัช" ลุยร้องอัยการ ร่วมสอบทีมสืบสวนคดีแอมไซยาไนด์วันนี้ (26 เม.ย.67)   นางสาวธันย์นิชา เอกสุวรรณวัฒน์  หรือ ทนายพัช ทนายความ ของ แอม สรารัตน์ ใน“คดีแอมไซยาไนด์” เดินทางเข้าพบ นายวัชรินทร์ ภาณุรัตน์ รองอธิบดีอัยการ สำนักงานการสอบสวน เพื่อยื่นหนังสือร้องทุกข์ต่อคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทรมานและการกระทำให้บุคคลสูญหาย เนื่องจากถึงเวลาอันเหมาะสมและมีข้อเท็จจริงชัดเจนเพียงพอพร้อมส่งมอบหลักฐานและข้อเท็จจริงแล้ว ทีมทนายความแอม รวบรวมมาเพื่อทำการส่งมอบให้ทางคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทรมานและการกระทำให้บุคคลสูญหาย เพื่อให้ทางคณะกรรมการฯท่านได้ดำเนินการตรวจสอบและดำเนินคดีต่อไป   ทนายพัช กล่าวว่า การร้องเรียนครั้งนี้เพื่อขอความเป็นธรรมให้กับผู้ต้องหา และเป็นการปฏิรูปกระบวนการยุติธรรมเนื่องจากมีการใช้บังคับกฎหมายมาสักระยะแต่การทำหน้าที่ของเจ้าหน้าที่ยังไม่ถูกต้อง เหตุที่เพิ่งมาร้องเรียนเนื่องจากอยู่ระหว่างเตรียมคดีของ แอม ซึ่งปัจจุบันเตรียมคดีสมบูรณ์แล้วพร้อมที่จะพิสูจน์ต่อศาล ซึ่งข้อเท็จจริงสำคัญที่เป็นการกระทำความผิดตาม พ.ร.บ.ทรมานอุ้มหาย  กล่าวคือ   ประการแรก ในช่วงเวลาที่เกิดเหตุกับแอมนั้นกฎหมายมีผลใช้บังคับแล้ว ประการที่สอง การกระทำขณะจับกุม ตามพ.ร.บ.ดังกล่าวเจตนารมณ์ของกฎหมายก็เพื่อมุ่งเน้นให้เจ้าหน้าที่นำตัวผู้ถูกจับกุมไปส่งพนักงานสอบสวนให้เร็วที่สุด แต่การที่ชุดจับกุมดังกล่าว พาผู้ถูกจับกุมไปยังสโมสรตำรวจสนามฟุตบอลเป็นเวลาหลายชั่วโมง เป็นการกระทำที่ไม่ถูกต้องและเกิดความอับอาย (แห่นางแมว) ประการที่สาม การควบคุมตัวผู้ต้องหาทั้งในชั้นจับกุมและชั้นพนักงานสอบสวนจะต้องมีการบันทึกวีดีโอไว้ ทั้งหมดแต่ชุดจับกุมและพนักงานสอบสวน ชุดดังกล่าวไม่ได้ดำเนินการตามกฎหมาย ประการที่สี่ การพูดจาข่มขู่ผู้ต้องหา ในขณะที่ตั้งครรภ์และข่มขู่ไปถึงบุตรของแอม  บุคคลอันเป็นที่รัก ซึ่งในขณะนั้นแอมยังมีการตั้งครรภ์บุตรคนที่สามอยู่ด้วย ยังไม่แท้งอันเป็นการกระทำที่ผิดตามกฎหมายดังกล่าว ถือว่าเป็นการกระทำทางจิตใจ และการกล่อมให้รับสารภาพ ยังถือเป็นจุดประสงค์หลัก เพื่อให้ได้มาซึ่งคำรับสารภาพ โดยไม่คำนึงว่า ต้องรับสารภาพเท่านั้น  ประการที่ห้า การปฏิบัติหน้าที่ขณะที่ผู้ต้องหาอยู่ในเรือนจำจะต้องได้รับการตีความตามกฎหมายเช่นกันว่าหากมีลักษณะข่มขู่ทั้งตนเองหรือบุคคลอื่น จนทำให้เกิด ความกลัวหรือกัลวลควรจะต้อง ตีความว่าเป็นการกระทำความผิดตามกฎหมายนี้เช่นเดียวกัน ประการที่หก ดังที่ทนายพัชเคยกล่าวเมื่อวันที่ 5 พฤษภาคม 2566 ว่า จะเป็นการบูรณาการกฎหมายของสำนักงานตำรวจแห่งชาติด้วยเพื่อให้เป็นรูปธรรม ถึงเวลาแล้วที่ประชาชนคนไทยจะเห็นคดีตัวอย่างในมุมที่ดีนำไปปรับใช้กับการอยู่ร่วมกันในสังคมและการปฏิบัติตนของผู้มีอำนาจเช่นเจ้าพนักงานตำรวจนี้  ซึ่งเมื่อพิจารณาตามกฎหมายย่อมต้องไม่กลัวที่จะต้องกระทำทุกอย่างอันโปร่งใส ถูกต้องและให้สามารถตรวจสอบได้ว่า ผู้ที่ลงชื่อปฏิบัติงานในบันทึกจับกุม จะต้องถูกดำเนินคดีทั้งหมดซึ่งจะเป็นการปฏิรูปกระบวนการยุติธรรมโดยเฉพาะการทำงานของตำรวจซึ่งในหลายคดีจะเห็นว่าจะมีลงชื่อปฏิบัติงานจำนวนมากแต่ตัวไม่อยู่ (มีชื่อแต่ไม่มีตัว มีชื่อแต่อ่านไม่ออกตรวจสอบไม่ได้) ซึ่งในกรณีดังกล่าวหากมีการกระทำผิดตาม พ.ร.บ. ทรมานอุ้มหาย ผู้ที่มีรายชื่อจะต้อง ร่วมรับผิดทั้งหมด ซึ่งจะส่งผลให้การปฏิบัติงาน ของตำรวจนั้นตรงไปตรงมาไม่ใช่ลงชื่อเอาหน้า ประการที่เจ็ด ผู้บังคับบัญชาที่รู้เรื่องดังกล่าวจะต้องรับผิดตามมาตรา 42 ต้องได้รับโทษด้วยกึ่งหนึ่ง   เพื่อให้เป็นต้นแบบแก่เจ้าพนักงานชุดจับกุม ทำอย่างไรให้ถูกต้อง และเมื่อเลื่อมใสในรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ย่อมต้องปฎิบัติตามที่มีคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญด้วยเช่นกัน ว่าให้มีผลบังคับใช้ โดยร้องทุกข์บุคคลที่มีชื่อหลายรายและรวมถึงผู้บังคับบัญชา โดยเฉพาะอย่างยิ่ง พลตํารวจเอก สุรเชษฐ์ หักพาล ต้องรับผิดตามมาตรา 42 ในฐานะที่เป็นผู้บังคับบัญชา   ท้ายนี้ แอม สรารัตน์ แสดงเจตจำนงสุจริตที่จะใช้สิทธิตามที่กฎหมายรับรองและคุ้มครองและยืนยันว่าได้ถูกกระทำย่ำยีศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์อย่างแท้จริงและทำร้ายจิตใจและเกิดการแท้งบุตรจริง โดยกฎหมายตามพระราชบัญญัตินี้ ไม่มีข้อยกเว้นให้ไม่ต้องปฏิบัติแม้ยามเกิดสงครามจะหยิบยกขึ้นมาอ้างไม่ได้เช่นกัน ซึ่งถือว่า เป็นกฎหมายใหม่ ที่ผดุงความยุติธรรมได้อย่างแท้จริง

ผวาโรคจิตโยนขวดลงจากสะพานหวั่นโดนหัว พ่อค้า-แม่ค้าต้องใส่หมวกกันน็อกขายของ เมื่อเวลา 03.00 น. วันที่ 26 เมษายน 67 ผู้สื่อข่าวได้รับแจ้งว่า มีคนโรคจิตโยนขวดโซดาจากบนสะพานพระราม 4 จุดหัวถนนท่าน้ำปากเกร็ด ซึ่งด้านล่างเป็นตลาดชื่อ"ตลาดพิชัย" เป็นตลาดเช้าพ่อค้า-แม่ค้าจะมาตั้งของขายตั้งแต่ช่วงเวลาตี 2 จนถึง 10 โมงเช้า จึงเริ่มทยอยเก็บร้าน   น.ส.เอี้ยง เจ้าของร้าน "นายดอนต้มเลือดหมู" เล่าว่า ช่วงเวลาตี 4 ถึงตี 4 ครึ่งทุกวัน ตั้งแต่วันที่ 13 เมษายน เป็นต้นมา จะมีขวดโซดาถูกโยนลงมาจากบนสะพานพระราม 4 ตกลงมาแตกใกล้ร้านของตนเอง จนพ่อค้าแม่ค้าที่ตั้งร้านขายของต่างพากันตกใจ โดยคนที่โยนโยนลงมาตั้งแต่วันที่ 13 และวันที่ 20 -21- 22 ทุกครั้งพ่อค้าแม่ค้าต้องขายของอย่างหวาดระแวง บางคนนั่งขายของอยู่ๆขวดโซดาก็ถูกโยนลงมาเฉี่ยวหัวจนหลบกัน แทบไม่ทัน ขายของด้วยความหวาดกลัว ตนพยายามมองหาบนสะพานก็ไม่เห็นว่ามีใครเป็นคนโยนลงมา เคยขอร้องและโทรไปพูดคุยกับ สท. คนหนึ่ง เพื่อให้ช่วยตรวจสอบกล้องวงจรปิดบนสะพานว่ามีหรือไม่ ก็รับปากว่าจะมาดูแลให้แต่ก็ยังไม่เห็นมาดูสักที ตนก็ไม่เข้าใจว่าคนที่โยนลงมาโยนทำไมโยนเพื่ออะไร ตอนนี้แม้จะยังไม่โดนหัวใครแต่ถ้าวันไหนเกิดโดนขึ้นมาแล้วได้รับบาดเจ็บจะให้ทำยังไง เท่าที่ทราบมีรถตู้และรถจยย. เสียหายแต่เจ้าของยังไม่มีเวลาไปแจ้งความ ตนและพ่อค้าแม่ค้าคนอื่นๆต้องมานั่งเก็บกวาดขวดโซดาที่แตกกระจายทุกครั้งที่คน โรคจิตโยนลงมาจากบนสะพาน     ลุงตี๋ อายุ 70 ปี พ่อค้าขายเฉาก๊วย ซึ่งต้องเอาหมวกกันน็อค มาใส่ขายของ เพื่อป้องกันขวดโซดาหล่นใส่หัว เล่าว่า ตนขายของอยู่ตรงนี้มานานหลายสิบปี ไม่เคยเจอเหตุการณ์แบบนี้เลย ทุกครั้งที่ขวดโซดาหล่นลงมาจากบนสะพานพระราม 4 จะหล่นลงมาเฉี่ยวหัวตน และขวดโซดาได้หล่น แตกกระจายจนรู้สึกหวาดกลัว บางครั้งต้องนำหมวกกันน็อค มาสวมใส่ขณะตั้งร้านขายของ เพราะกลัวว่าสักวันขวดโซดาจะหล่นใส่หัวตนได้รับบาดเจ็บ ตนเจอมาหลายครั้งแล้ว อยากบอกคนทำว่าอย่าทำเลย มันเดือดร้อนชาวบ้านที่ทำมาหากิน  นายเหว่า อายุ 55 ปี คนขับรถตู้หนึ่งในผู้เสียหายที่โดนขวดโซดาหล่นใส่หลังคารถจนบุบ เผยว่า ตนมาจับจ่ายซื้อกับข้าวที่ตลาดแห่งนี้ทุกวัน และมักจะนำรถตู้มาจอดตรงจุดนี้ คืนวันที่ 22 เมษายน 67 ที่ผ่านมาขณะเข้าไปหาซื้อกับข้าวภายในตลาดเมื่อออกมาก็ได้รับแจ้งจากแม่ค้าหน้าตลาดว่า มีขวดโซดาโยนลงมาจากบนสะพานพระราม 4 โดนหลังคารถตู้ตนเองจนบุบได้รับความเสียหาย โชคดีที่ไม่โดนหัวใครไม่อย่างนั้นคงต้องได้รับบาดเจ็บ อยากให้เจ้าหน้าที่ตำรวจเข้ามาตรวจสอบและสืบหาว่าคนที่ทำแบบนี้ทำเพื่ออะไรทำทำไมชาวบ้านเขาเดือดร้อน ตนมาจอดก็รู้สึกกลัวทุกครั้งขอร้องเถอะอย่าทำเลย หากยังไม่หยุดการกระทำและไม่ออกมารับผิดชอบ ตนก็จะไปแจ้งความกับเจ้าหน้าที่ตำรวจเพื่อดำเนินคดี นายเหว่ากล่าวในท้ายสุด

ศาลเลื่อนนัดฟังพิพากษา "แอมมี่" กับพวก คดี"หมิ่นเบื้องสูง" ออกไปเป็น 27 พ.ค. 2567วันนี้ (25 เม.ย.) เมื่อเวลา 10..00 น. ที่ ศาลอาญา ถนนรัชดาภิเษก นาย ธนพัฒน์ กาเพ็ง จำเลยในคดี "หมิ่นเบื้องสูง" ได้เดินทางทาศาลเพื่อฟังคำพิพากษาครั้งที่ 2 ในคดีหมายเลขดำ อ.1199/2564 ที่พนักงานอัยการคดีอาญา 5 เป็นโจทก์ฟ้องนาย ไชยอมร แก้ววิบูลย์พันธุ์ หรือ "แอมมี่ เดอะ บอตทอม บลูส์"  ศิลปิน-แกนนำม็อบป่วนเมือง และนายธนพัฒน์ กาเพ็ง เป็นจำเลย 1-2 ในความผิดฐาน "ดูหมิ่นสถาบัน" ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 “มาตรา 217 “ ฐานวางเพลิงเผาทรัพย์” และพ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ฯพ.ศ.2550 มาตรา 14 (3) ที่ ห้องพิจารณา 905 ส่วนนายไชยอมร แก้ววิบูลย์พันธุ์ หรือ "แอมมี่ เดอะ บอตทอม บลูส์" ศิลปิน-แกนนำม็อบป่วนเมือง ไม่ได้เดินทางมาศาล มีแต่ทนายและมารดา มาเข้ายื่นเอกสารใบแพทย์และขอเลื่อนอ่านคำพิพากษาออกไปอีกขณะนี้อยู่ระหว่างการพิจารณาของศาล  โดยคดีอัยการโจทก์ระบุฟ้องความผิดสรุปว่า เมื่อคืนวันที่ 28 ก.พ.2564 จำเลยกับพวกได้ร่วมกันวางเพลิง โดยใช้น้ำมันก๊าดราดใส่ และจุดไฟเผาพระบรมฉายาลักษณ์รัชกาลที่ 10 ซึ่งประดิษฐานติดตั้งบริเวณหน้าเรือนจำกลางคลองเปรมได้รับความเสียหาย นับเป็นการแสดงอาฆาตมาดร้าย ดูหมิ่นพระมหากษัตริย์ ต่อมาจําเลยได้นําภาพเข้าและเผยแพร่สู่ระบบคอมพิวเตอร์ ในบัญชีเฟซบุ๊ก ที่ใช้ชื่อว่า “The BOTTOM BLUES” ของจําเลย ซึ่งเป็นการสื่อสารทางอินเทอร์เน็ตที่เปิดเป็นสาธารณะ ประชาชนทั่วไปสามารถเข้าถึงได้ จึงเป็นการ นําเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ใดๆ อันเป็นความผิดต่อความมั่นคงของรัฐ จำเลยทั้งสองให้การปฏิเสธ และได้ประกันตัว    ทั้งนี้เมื่อวันที่ 26 มี.ค.ที่ผ่านมาศาลได้นัดฟังคำพิพากษานายไชยอมรกับพวกมาครั้งหนึ่งแล้ว แต่นายไชยอมร ได้ขอเลื่อนฟังคำพิพากษา อ้างว่า มีอาการเจ็บป่วยซึ่งศาลอนุญาต ให้เลื่อนมาฟังคำพิพากษาในวันนี้ (25 เม.ย.)  โดยนาย ธนพัฒน์ กาเพ็ง จำเลยที่ 2 กล่าวก่อนเข้าฟังคำพิพากษาว่าวันนี้ศาลนัดฟังคำพิพากษา ที่ถามว่ากังวลไหมก็กังวล50เปอร์เซ็นต์ เพราะจากผลประกันของเพื่อนๆที่ไม่ได้รับการประกันตัวก็จะเป็นแนวโน้มที่ไม่ค่อยดีสักเท่าไหร่ แต่ก็ไม่ได้กังวลมาก ถ้ากระบวนการยุติธรรททำยังยืนหยัดเรื่องความยุติธรรมสิทธิการประกันตัวควรเป็น สิทธิพื้นฐานที่ทุกคนควรได้รับ  ที่ถามว่าเเอมมี่จะมาหรือไม่ ตอนนี้ไม่ได้คุยกับแอมมี่เลยก็คิดว่าถ้าไม่มีเหตุการณ์ที่จำเป็นจริงๆแอมมี่ก็น่าจะเดินทางมา เพราะเราสู้ด้วยข้อเท็จจริง สู้ตามพยานหลักฐานเเละสู้ตามสิ่งที่เรียกร้องยืนยันไม่หนักใจ วันนี้ จำเลยที่ 1 ไม่มา ส่วนโจทก์ จำเลยที่2  ทนายจำเลยที่ 1-2 มาศาล  มารดาของนายไชยอมร ซึ่งเป็นนายประกันจำเลยที่ 1 แถลงขอเลื่อนอ่านคำพิพากษา เนื่องจาก จำเลยที่1 ได้เข้ารักษาตัวที่โรงพยาบาลกรุงไทยปากเกร็ด ตั้งแต่วันที่ 24 เม.ย. 67 พร้อมนำใบรับรองแพทย์มาประกอบ  โจทก์ขอคัดค้าน เพราะการนัดอ่านคำพิพากษาครั้งที่แล้ว จำเลยที่1 ก็ใช้อาการเจ็บป่วยขอเลื่อนไปแล้ว เห็นว่าพฤติการณ์เป็นการประวิงเวลาคดี  มารดาของนายไชยอมร แถลงต่อศาลว่า จำเลยที่1 มีอาการป่วยเกี่ยวกับปอดจำเป็นต้องรักษาอาการต่อเนื่อง ให้พอมีสุขภาพแข็งแรงมากพอก่อน และในนัดหน้าจะนำตัวมาตามนัดเพื่อฟังคำพิพากษา ศาลพิเคราะห์แล้วเป็นมามีเหตุจำเป็น จำเลยที่1 มีอาการป่วย ประกอบกับสอบถามจำเลยที่2 แล้ว อยู่ในช่วงยื่นสมัครเข้าเรียนมหาวิทยาลัย อนุญาตให้เลื่อนนัดฟังพิพากษาออกไปเป็น 27 พ.ค. 2567 และกำชับให้นายประกันจำเลยที่1 นำตัวมาฟังคำพิพากษา หากไม่อาจนำตัวจำเลยที่1 มาได้ศาลจะมีการพิจารณาออกหมายจับต่อไป

สามีพาร้องทนายดัง หลังภรรยาแหม่ม ถูก รปภ.คอนโด ต่อยร่วง ฉุนโดนปลุกขณะนอนหลับในป้อม   เมื่อเวลา 11.30 น วันที่ 25 เมษายน 67 มูลนิธิรณรงค์ทวงคืนความยุติธรรมในสังคม ถ.แจ้งวัฒนะต.บางตลาด อ.ปากเกร็ด จ.นนทบุรี  นายบุญเอก วงศ์สุริยะวัฒนา อายุ 46 ปี ได้พาภรรยาสาวชาวอังกฤษ ชื่อ Miss ayesa อายุ 37 ปี เข้าร้องเรียนกับนายรภัสสิทธิ์ ภัทรสิริชัยสินชัย รองประธานมูลนิธิ เพื่อร้องเรียนขอความเป็นธรรม หลังถูก รปภ. คอนโดชื่อดังแห่งหนึ่ง ต่อยภรรยาสาวจนร่วงกองลงกับพื้น ทำให้กระดูกใบหน้าแตก จมูกมีรอยร้าว บาดเจ็บสาหัสทางจิตใจเป็นอย่างมาก เหตุเกิดวันที่ 12 ธันวาคม 64 ช่วงกลางดึกเวลา 03.30 น.  นายเอก เล่าว่า ตนเองซื้อคอนโดหรูแห่งหนึ่งเป็นอาคารชุดย่านช่องนนทรีย์ เขตยานนาวา กรุงเทพ ราคากว่า 10 ล้านบาท คืนเกิดเหตุ ตนได้มาหยิบของในรถยนต์บริเวณลานจอดรถชั้นล่าง ภรรยาแหม่มสาวชาวอังกฤษของตนเองเห็นตนลงมานานจึงได้ลงมาตามหาตน โดยภรรยาได้มาสอบถามนายโมฮัมหมัด อะยัน อายุ 27 ปี ซึ่งเป็นรปภ.ของคอนโด อาคารชุดแห่งนี้ซึ่งขณะนั้นนายโมฮัมหมัด กำลังนอนหลับสนิทอยู่ภายในป้อมยาม ภรรยาตนเองจึงได้ปลุกนายโมฮัมหมัด ทำให้เขาไม่พอใจเป็นอย่างมาก บอกเพียงว่าไม่รู้ไม่เห็น ภรรยาตนจึงพูดไปว่าขอดูกล้องวงจรปิดภายในอาคารหน่อย ทาง รปภ.รายนี้จึงชี้ไปทางด้านขวาของอาคารชุด ซึ่งค่อนข้างมืด เมื่อภรรยาของตนเดินไปตามที่ รปภ.ชี้ ปรากฏว่านายโมฮัมหมัด ได้เดินตามภรรยาของตนเองในระยะกระชั้นชิด ภรรยาตนจึงบอกว่า "ไม่ต้องตาม" อยู่ๆนายมูฮัมหมัด ก็ใช้กำปั้นต่อยเข้าที่บริเวณใบหน้าภรรยาตนเอง 1 ครั้ง จนล้มลงใบหน้าแตก จมูกร้าวเป็นแผลฉกรรจ์ก่อนจะหลบหนีและไม่มาทำงานอีกเลยในวันรุ่งขึ้น" ภรรยาตนเองเคยป่วยมีอาการทางจิตเวช หลังเจอแบบนี้ทำให้เขาสติแตก ไม่กล้าแม้แต่จะไปโรงพยาบาล ตนต้องคอยปลอบใจ และอธิบายเหตุผล ต่างๆ จึงเข้าทำการรักษาอย่างต่อเนื่องที่โรงพยาบาล และเข้าแจ้งความกับพนักงานสอบสวน สน.บางโพงพาง เพื่อให้ดำเนินคดีกับนายโมฮัมหมัด รปภ.หมัดหนักรายนี้ ในข้อหาทำร้ายร่างกายเป็นเหตุให้เกิดอันตรายทางจิตใจเป็นอย่างมาก" หลังเกิดเหตุการณ์ ตนได้พูดคุยกับทาง บริษัท รปภ. แต่เขาไม่ยอมรับผิดชอบใดๆอ้างว่าเป็นเรื่องทะเลาะส่วนตัวไม่เกี่ยวกับทางบริษัท ตนพยายามสอบถามว่า รปภ.คนนี้ ผ่านการอบรมมีใบอนุญาต เป็น รปภ.ถูกต้องหรือไม่ ทางบริษัทก็นำหนังสือมาแสดงซึ่ง เป็นหนังสือยืนยันมาจากทาง บชน.ของเจ้าหน้าที่ตำรวจว่าเป็นรปภ.จริง แต่เมื่อตนนำหนังสือเดินทางไปตรวจสอบที่ บช.นปรากฏว่าทางเจ้าหน้าที่ตำรวจยืนยันว่า  เอกสารดังกล่าวไม่ได้ออกมาจาก ทาง บชน .ตนจึงแปลกใจว่า ทำไมทางบริษัทถึงสามารถเอาเอกสารแบบนี้มาแสดงให้ตนเองดูได้ มันรู้สึกไม่ชอบมาพากล จึง ต้องพาภรรยาสาวชาวอังกฤษมาร้องเรียนกับมูลนิธิรณรงค์ทวงคืนความยุติธรรมในสังคมเพื่อให้ช่วยเหลือในด้านคดี  ขณะที่นายรภัสสิทธิ์  รองประธานมูลนิธิกล่าวว่า หลังเสร็จสิ้น จากการร้องเรียนตอนนี้ ตนจะนำผู้เสียหายทั้ง 2 คนเดินทางไปที่กองบัญชาการตำรวจนครบาล เพื่อสอบถามกรณีเอกสารที่ทางบริษัท รปภ. มาแสดงให้กับผู้เสียหายดูว่าเป็นเอกสารจริงหรือไม่และออกมาได้อย่างไรทั้งๆที่ทาง บชน. เองก็ยืนยันว่าไม่ใช่เอกสารที่ออกให้โดยทาง บชน. ส่วนเรื่องความรับผิดชอบนั้นบริษัทรปภ.จะปฏิเสธไม่ได้เลย เพราะเนื่องจาก รปภ.รายนี้ ก่อเหตุขณะที่ยังเป็นพนักงานของคุณอยู่ คุณจะมาอ้างว่าเป็นเรื่องส่วนตัวไม่ได้ เรื่องนี้จะดำเนินคดีและติดตามช่วยเหลือให้กับผู้เสียหายทั้ง 2 ราย เพื่อเรียกร้องสิทธิ์ตามกฎหมายต่อไป

'บิ๊กโจ๊ก' บุกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ยื่นอุทธรณ์คำสั่งให้ออกจากราชการไว้ก่อนองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ รักษาราชการแทนผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติได้ลงนามในคำสั่งให้ตนเองออกจากราชการไว้ก่อนโดยมิชอบ  โดยกล่าวว่าวันนี้ได้ยื่นเรื่องร้องเรียน 2 ส่วน คือ  ก.พ.ค.ตร. และ ก.ตร. เพื่ออุทธรณ์เกี่ยวกับคำสั่งให้ออกจากราชการซึ่งเป็นคำสั่งทางปกครอง ที่ รักษาการแทนผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติได้ลงนาม โดยนำแผนผัง “ขบวนการ 4 × 100 ปีพระพรหม“ ของกลุ่มที่เสพติดอำนาจประพฤติชั่ว ที่มีการทำเป็นขบวนการ  ประกอบด้วย 4 ชุด คือ ชุดตรวจค้นบ้าน ตระกูลสี่ ต.เต่า (ต่อ เต่า  ตุ้ม ไตร) , พนักงานสอบสวนชุดคดีสถานีตำรวจนครบาลทุ่งมหาเมฆ, พนักงานสอบสวนชุดคดีสถานีตำรวจนครบาลเตาปูน และชุดรักษาราชการแทนผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ที่ร่วมกันทำเป็นขบวนการตั้งแต่การเข้าตรวจคนบ้าน การใช้อำนาจสอบสวน นำไปสู่การออกหมายเรียก หมายจับ จากนั้นรักษาราชการแทนผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติได้ตั้งคณะกรรมการสอบสวน และมีคำสั่งให้ตนออกจากราชการไว้ก่อนในวันที่ 18 เม.ย. และนำส่งสำนวนให้ ป.ป.ช.ทันทีในวันที่ 19 เมษายน  โดยกลุ่มบุคคลเหล่านี้ มีการสร้างเรื่องเกี่ยวกับเว็บพนัน และเข้าแจ้งความ ในคดีเว็บไซต์พนันออนไลน์เครือข่ายมินนี่ที่สถานีตำรวจนครบาลทุ่งมหาเมฆ โดยให้พนักงานสอบสวนรับคดีตั้งแต่ 2558 และดำเนินคดีกับผู้บังคับบัญชาของตนเอง8 คน โดยใช้กลไกศาลดำเนินการกับตนพร้อมกับ ส่งสำนวนคดีให้ ป.ป.ช. พร้อมแจ้งข้อกล่าวหา 1 ใน 8 ลูกน้องของตนเอง  ซึ่งคดีเว็บไซต์พนันออนไลน์เครือข่ายมินนี่มีพลตำรวจเอกธนา ชูวงศ์รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ เป็นหัวหน้าคณะพนักงานสอบสวน ส่วน สำนวนคดีพนันออนไลน์  bnk master  มีพลตำรวจโทธิติ แสงสว่าง ผู้บัญชาการตำรวจนครบาล เป็นหัวหน้าคณะพนักงานสอบสวน ซึ่งย้ำว่าทั้งสองสำนวนตำรวจไม่มีอำนาจในการสอบสวน และที่ผ่านมาตัวเองได้ทำหนังสือทักท้วงไปยังผู้บัญชาการตำรวจนครบาลและรักษาราชการแทนผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติแล้ว แต่ไม่มีการตอบรับ กระทั่งตนเองถูกแจ้งข้อกล่าวหาเมื่อวันที่ 2 ธันวาคม 2566 นำไปสู่การมีคำสั่งให้ตนเองออกจากราชการไว้ก่อน ซึ่งเป็นเรื่องที่ผิดกฎกมายทั้งหมด  เนื่องจากตนเองถูกกล่าวหาตั้งแต่วันที่ 2 ธันวาคม 2566 ขณะนั้นพลตำรวจเอกต่อศักดิ์ สุขวิมลดำรงตำแหน่งผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ และตนเองยังคงปฏิบัติหน้าที่รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติอยู่ หากตนเองทำให้เกิดความเสียหายต่อราชการจริงก็ต้องให้ออกตั้งแต่ขณะนั้นแล้ว  ต่อมาตนเองยังถูกย้ายไปปฏิบัติราชการที่สำนักนายกรัฐมนตรีตั้งแต่วันที่ 20 มีนาคม รวมระยะเวลาทั้งหมด 29 วัน  จะมีอำนาจเข้าไปยุ่งกับพยานหลักฐาน หรือทำให้เกิดความเสียหายได้อย่างไร จากนั้นพลตำรวจเอกสุรเชษฐ์ได้กางข้อกฎหมายพระราชบัญญัติตำรวจแห่งชาติปี 2547  ข้อ 8 มาตรา 131 ที่ระบุว่า “กรณีสั่งให้ออกจากราชการไว้ก่อนต้องใช้ กฎ ก.ตร. ปี 2547 มาประกอบ หากแต่ในข้อ8  ของกฎ ก.ตร. ปี 47 กรณีการสอบสวนไม่แล้วเสร็จโดยเร็ว ได้ขัดแย้งกันในข้อกฎหมายตามที่กล่าวไป จึงต้องนำมาตรา 120 มาใช้แทน ซึ่งระบุว่าการสอบสวนข้อเท็จจริงต้องให้แล้วเสร็จภายใน 120 วัน หลังจากนั้นจะส่งให้นายกรัฐมนตรีในฐานะผู้บังคับบัญชาเป็นผู้พิจารณา‘’ แต่พบว่าคำสั่งครั้งนี้มีความขัดแย้งกัน จึงต้องยกเลิกคำสั่งให้ออก จากราชการนี้ไปโดยปริยาย เพราะถือเป็นการให้ออกจากราชการโดยมิชอบ นอกจากนี้ ใน พ.ร.บ.ตำรวจแห่งชาติ ปี 65 ยังระบุว่า ระหว่างการสอบสวนจะนำเหตุแห่งการสอบสวนมาเป็นข้ออ้างในการดำเนินการใด ให้กระทบต่อสิทธิ์ของผู้ถูกสอบสวนไม่ได้ เว้นแต่ผู้บังคับบัญชาจะสั่งพักราชการหรือให้ออกจากราชการไว้ก่อน ตามข้อเสนอแนะของคณะกรรมการสอบสวนแล้วมีความเห็นไปถึงผู้บัญชาการภาคหรือผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติว่าจะมีดุลยพินิจอย่างไร แต่กรณีของตนเองนั้นมีคำสั่งตั้งคณะกรรมการสอบสวนในวันเดียวกับที่มีคำสั่งให้ตนเองออกจากราชการ ดังนั้นจึงไม่มีข้อเสนอแนะจากคณะกรรมการสอบสวน ที่มีพลตำรวจเอกสราวุฒิ การพาณิชย์ รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ เป็นหัวหน้าคณะตามกฎหมายฉบับดังกล่าว  เป็นการกลับไปใช้กฎหมายฉบับเดิมปี 2547 ที่ให้เป็นไป ตามดุลยพินิจของผู้บังคับบัญชา  “การกระทำดังกล่าวรักษาราชการแทนผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติต้องติดคุก อีกทั้งที่ผ่านมา มีตำรวจกว่า 500 นายที่ถูกดำเนินคดีแต่ไม่มีใครถูกสั่งให้ออกจากราชการเหมือนกับตนเอง  นอกจากนี้  ยังได้สอบถามกับ ผอ. กองวินัยซึ่งระบุว่าได้มีการประมวลเรื่องดังกล่าวไว้สองวันก่อนจะมีคำสั่งให้ตนเองออกจากราชการ คือ มีการร่างคำ สั่งให้ออกราชการเตรียมเอาไว้ตั้งแต่วันที่ 17 เม.ย. และลงนามในวันที่ 18 เม.ย. แสดงให้เห็นว่า มีขบวนการให้ตนเองออกจากราชการ“ โดยหลังจากนี้ จะยื่นฟ้องต่อศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบ ตั้งแต่รักษาราชการแทนผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ,  ผู้บัญชาการกฎหมาย กมค., ผู้บังคับการกองคดี, ผู้บังคับการสารนิเทศห้า, เลขานุกาลสำนักงานตำรวจแห่งชาติ, รวมถึงผู้บัญชาการสำนักงานเทคโนโลยีที่มาปลดป้ายตนเองและปลดจากทำเนียบผู้บังคับบัญชาออก ทั้งที่ยังไม่มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯให้ตนเองออกจากราชการ ในขณะที่พลตำรวจเอกรอย อิงคไพโรจน์ ที่ไปทำงานที่ สมช.นานแล้ว ยังไม่มีการปลดป้าย ถือเป็นการทำให้ตนเองเสื่อมเสีย  ดังนั้นจะยื่นฟ้องดำเนินคดีทั้งหมดแต่ถ้าจะให้ตนเองเมตตาก็ต้องมาบอกกับตัวเองว่าใครเป็นผู้สั่งการ  พลตำรวจเอกสุรเชษฐ์กล่าวอีกว่า การให้รอง ผบ.ตร.ออกจากราชการนั้นแม้ไม่ใช่เรื่องเล็กๆ แต่นี่มีความรีบ รีบเพราะมีคนกระเหี้ยนกระหือรืออยากเป็นผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ทำเรื่องรอไว้แล้วก็ไปหลอกนายกรัฐมนตรี นายกรัฐมนตรีก็ไม่ทราบจึงมีคำสั่งให้ตนเองส่งกลับไปที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติก่อนจะถูกสั่งให้ออกจากราชการ  เติมรักษาราชการแทนผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติไม่ใช่ผู้ขัดแย้งของตนแต่มาทำแบบนี้ถือว่า ท่านเลือกเอง  ซึ่งกรณีที่หนึ่งในคณะกรรมการ ก.ค.พ.ตร. คือ พลตำรวจเอกวิเชียร พจน์โพธิ์ศรี กรรมการพิทักษ์ระบบคุณธรรมข้าราชการตำรวจ และอดีต ผบ.ตร. ที่เป็นคู่ขัดแย้งกับตนเองนั้น ท่านจะต้องรู้ตัวเองและขอถอนตัว แต่หากรู้ว่าท่านไม่ดำเนินการตนเองก็จะยื่นเรื่องร้องเรียนต่อไป  ทั้งนี้ ยืนยันว่ามติของ ก.พ.ค.…

ศาลออกหมายจับแล้ว! สองยากูซ่าจอมโหดฆ่าหั่นศพ ประสานตม.หวั่นเผ่นออกนอกประเทศจากกรณีแก๊งยากูซ่า ชาวญี่ปุ่น ก่อเหตุอย่างเหี้ยมโหด ฆ่าหั่นศพแยกชิ้นส่วนเพื่อนร่วมชาติโดยผู้เสียชีวิตคือนายคาบาชิม่า ริโอสุเกะ อายุ 47 ปี ส่วนผู้ก่อเหตุ เป็นชาวญี่ปุ่นร่วมชาติ และเป็น สมาชิกแก๊งยากูซ่า อันโด่งดัง ในประเทศญี่ปุ่น มีสมาชิกและเครือข่าย ไปทั่วทั้งเอเชีย และในประเทศแถบยุโรป อย่างในสหรัฐอเมริกา โดยผู้ต้องหา ที่ก่อเหตุ ในครั้งนี้ คือนายคาโต้ ทากูย่า อายุ 50 ปี และนายฮิโรโตะ ซูซุกิ อายุ 33 ปี ก่อเหตุฆ่าผู้ตาย โดยใช้อาวุธปืนยิง ก่อนทำการหั่นศพแยกชิ้นส่วน นายคาบาชิม่า แล้วให้ผู้ต้องหา ชาวไทย นายกฤษกร ใจพิทักษ์ หรือเกม อายุ 30 ปี นำชิ้นส่วนไปทิ้งในบ่อล้าง และป่าหญ้า ย่านบางบัวทอง ตามที่เป็นข่าว ไปแล้วนั้น  ล่าสุด ร้อยตำรวจเอกศุภฤกษ์ อัศวภูมิ รองสารวัตร(สอบสวน) สถานีตำรวจ ภูธรบางบัวทอง ได้ขออำนาจศาล จ.นนทบุรีออกหมายเลขที่ จ.374/2567 เพื่อทำการจับผู้ต้องหาชาวญี่ปุ่นทั้ง 2 ราย ที่ก่อเหตุในครั้งนี้ ในข้อหาร่วมกันฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อน ร่วมกันลอบฝัง ซ่อนเร้น ย้ายหรือทำลายศพหรือส่วนของศพเพื่อปิดบังการเกิด การตาย หรือเหตุแห่งการตาย ร่วมกันโดยทุจริตหรือเพื่ออำพรางคดีผู้กระทำ กระทำการใดๆแก่ศพ หรือสภาพแวดล้อมในบริเวณที่พบศพ ก่อนการชันสูตรพลิกศพเสร็จสิ้น ในประการนี้น่าจะทำให้ การชันสูตรพลิกศพหรือผลทางคดีเปลี่ยนแปลงไป และมีอาวุธปืนและเครื่องกระสุนปืนไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาต  ทั้งนี้ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจ สถานีตำรวจภูธรบางบัวทอง ได้มีการประสาน ไปยังเจ้าหน้าที่ตำรวจตรวจคนเข้าเมือง จนมีการขึ้นวอลรูมผู้ต้องหาชาวญี่ปุ่นทั้ง 2 ราย ทั่วประเทศ ตามด่านต่างๆ และสนามบินทุกแห่งในประเทศไทย ขึ้นหมายจับผู้ต้องหาชาวญี่ปุ่น 2 รายไว้ทั่ว เพื่อทำการจับกุมตัว 2 ชาวญี่ปุ่นแก๊ง ยากูซ่า ที่ก่อเหตุ ในครั้งนี้ มาดำเนินคดี ตามกฎหมายต่อไป

อุ่นใจของหายได้คืน  ตำรวจห้วยขวางช่วยติดตามของที่ลืมบนแท็กซี่เมื่อคืนที่ผ่านมาเจ้าหน้าที่ตำรวจสน.ห้วยขวาง ได้รับแจ้งจาก น.ส.สุณิสา สกุลพรหมเพชร อายุ 34 ปี ว่าเวลาประมาณ 21.00 น. ตนเองได้โดยสารรถแท็กซี่ สีเขียว-เหลือง ไม่ทราบทะเบียน มาจากสถานทูตกัมพูซา มาลงที่เซ็นทรัลพระราม 9 และได้ลืมกระเป๋าใส่โน้ตบุ๊ค (Notebook) ยี่ห้อ Hp จำนวน 1 เครื่อง มูลค่าประมาณ 30,000 บาท , สายชาร์จ , เมาส์ สมุด และสลิปเงินเดือน ไว้บนรถแท็กซี่คันดังกล่าว จึงได้เดินทางมาแจ้งความเพื่อให้เจ้าหน้าที่ตำรวจสน.ห้วยขวาง ช่วยติดตามทรัพย์สินทั้งหมดคืนมา หลังจากทางเจ้าหน้าที่รับแจ้ง เจ้าหน้าที่ชุดสืบสวนของ สน.ห้วยขวาง ได้ลงพื้นที่ตรวจสอบกล้องวงจรตามเส้นทางการโดยสารรถแท็กซี่ของผู้แจ้ง จนทราบข้อมูลทะเบียนรถ และชื่อคนขับทราบชื่อ นายสมัย แสงอรุณ จากนั้นจึงได้ติดต่อประสานงานจนเจอโดยนายสมัย ระบุว่าได้กระเป๋าโน้ตบุ๊คที่ผู้แจ้งได้ลืมไว้ในรถแท็กซี่ของตนจริง และตนเองได้เก็บรักษาไว้ให้ และจะให้ลูกชายเดินทางนำกระเป๋าใบดังกล่าวมาคืนให้ผู้แจ้งที่ สน.ห้วยขวาง เวลาต่อมา ลูกชายนายสมัยได้นำกระเป๋าโน้ตบุ๊คดังกล่าวมาส่งคืนให้ผู้แจ้งที่ สน.ห้วยขวาง ก่อนจะกล่าวขอบคุณ ลูกชายคนขับรถแท็กซี่ และ นายสมัย คนขับรถแท็กซี่คันดังกล่าว รวมถึงกล่าวขอบคุณ ชื่นชมการทำงานของเจ้าหน้าที่ตำรวจ สน.ห้วยขวาง ที่สามารถช่วยติดตามจนได้ทรัพย์สินทั้งหมดคืนมาโดยใช้เวลาเพียงไม่นาน

รวบเกมส์โซว็อทช่างสักล่วงละเมิดลูกค้าเด็กวัย 13 ปี จนต้องตัดมดลูก “หนูมาทราบทีหลังว่าหมอตัดมดลูก” คำพูดของมารดาเด็กสาววัย 13 ปี ให้การกับเจ้าหน้าที่ตำรวจ หลังจากถูกช่างสักชื่อดังย่านพระราม 2 ลวงไปว่าจะสักลายให้แบบมินิมอล แต่กลับข่มขืนเธอข้ามคืนในร้านสักนั้น ซึ่งหลังเกิดเหตุเธอยังคงเจ็บช้ำร่างกาย จนกระทั่ง 1 เดือนหลังเกิดเหตุเธอปวดท้องอย่างหนักและต้องเข้ารับการผ่าตัดโดยด่วนจากอาการป่วยขั้นรุนแรง โดยเมื่อพนักงานสอบสวนออกหมายเรียกให้ช่างสักรายนี้เข้ามาให้ปากคำ แต่เจ้าตัวกลับเผ่นหนีไปอย่างสุดชีวิตล่าสุดไปจนมุมชุด ดรีมทีมสืบนครบาลที่ จังหวัดภูเก็ต โดยเจ้าตัวลั่นว่า “ผมไม่ได้เจ้าชู้ แค่ยังไม่เจอคนที่ใช่ ที่น้องคนนี้ต้องไปรักษาเพราะน้องเอง”           พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ รักษาการ ผบ.ตร. พล.ต.อ.ธนา ชูวงศ์ รอง ผบ.ตร. และ พล.ต.ท.สำราญ นวลมา ผู้ช่วย ผบ.ตร. ให้ปราบปรามอาชญากรรมที่กระทำความผิดสร้างความเดือดร้อนแก่พี่น้องประชาชนผู้สุจริต            เมื่อวันที่  24 เมษายน  2567 พล.ต.ท.ธิติ แสงสว่าง ผบช.น.,พล.ต.ต.นพศิลป์ พูลสวัสดิ์ รอง ผบช.น. , สั่งการ พล.ต.ต.ธีรเดช ธรรมสุธีร์ ผบก.สส.บช.น. , พ.ต.อ.วรพจน์ รุ่งกระจ่าง รอง ผบก.สส.ฯ ,พ.ต.อ.จักราวุธ คล้ายนิล ผกก.วิเคราะห์ข่าวฯ บก.สส.บช.น.,พ.ต.ท.เอกศิษฐ์   วรกิตติ์ฐากรณ์  รอง ผกก.1 บก .สส.บช.น.  พ.ต.ท.มาโนชย์ ทองแก้ว รอง ผกก.สส บก.น.5    พ.ต.ต.ธัญพีรสิษฐ์ จุลพิภพ สว.กก.3 บก.สส.บช.น. พ.ต.ต.วศิน อินทร์แก้วสว.ฝอ.บก.สส.บช.น.    ร.ต.อ.ศิวัช ยังอุ่น รอง สว. กก.4 บก .สส.บช.น. ร.ต.อ.วรภัทร แสงเทียนประไพร รอง สว.สส.2 ฯปฏิบัติงาน ศอ.ปส.ตร. ร.ต.อ.พลวัต นาคถมยา รอง สว กก.1 บก.สส.บช.น. ร.ต.อ.หญิง ณิชญากาญจน์ เปสลาพันธ์ รอง สว.ฝอ บก.สส.บช.น.  ร.ต.ท.เลิศวริศ เลิศวรปรีชา รอง สว.ฯปฏิบัติงาน ศอ.ปส.ตร. ร.ต.ท.ณัฐวุฒิ อ้นชูฤทธิ์ รอง สว.สอบสวน สน.ดินแดง  ร.ต.ท.อนันตชัย สัจจพงษ์ รอง สว.ฝอ.2ฯปฏิบัติงาน ศอ.ปส.ตร.ร่วมกับเจ้าหน้าที่สืบนครบาลร่วมกันสืบสวนติดตามจับกุมตัว           นายวศิน หรือเกมส์ อายุ 25 ปี ภูมิลำเนา ตำบล บางหลวง อำเภอ บางเลน จังหวัด นครปฐม ผู้ต้องหาตามหมายจับ ศาลอาญาธนบุรีที่ จ.316/2567 ลงวันที่ 11 เมษายน 2567          ข้อหา “กระทำชำเราเด็กอายุไม่เกินสิบห้าปีซึ่งมิใช่ภริยาหรือสามีของตน โดยเด็กนั้นจะยินยอมหรือไม่ก็ตาม , พาเด็กอายุยังไม่เกินสิบห้าปีไปเพื่อการอนาจาร แม้ผู้นั้นจะยินยอมก็ตาม , ปราศจากเหตุอันสมควร พรากเด็กอายุยังไม่เกินสิบห้าปีไปเสียจากบิดามารดา เพื่อการอนาจาร” ประวัติเคยถูกดำเนินคดีข้อหา “พรากผู้เยาว์ฯ” ที่ สน.ท่าข้าม เมื่อ พ.ศ.2559          จับกุมได้ที่ ห้องพักในซอยโป๊กุ่ยถ.แม่หลวน ต.ตลาดเหนือ อ.เมือง จ.ภูเก็ต        พฤติการณ์กล่าวคือ “ช็อก...จนใจสลาย” เด็กสาววัย 13 ปี ฟื้นจากฤทธิ์ยาสลบหลังออกจากห้องผ่าตัดแล้วทราบว่าตนเอง “ถูกตัดมดลูก”ความรู้สึกที่เจ็บปวดเกินบรรยายจากการถูกลวงไปกระทำย่ำยีนั้นก็บอบช้ำเกินต้านแล้ว ยังถูกซ้ำด้วยการสูญสิ้นความเป็นหญิงไปอย่างไม่มีวันหวนคืน กว่า 3 สัปดาห์ที่เธอต้องนอนพักฟื้นในโรงพยาบาลเรื่องราวสะเทือนใจนี้เกิดขึ้นเมื่อช่วงปลายปี 2566 เมื่อเมื่อเด็กสาววัย 13 ปี  มารดาเล่าให้ตำรวจฟังว่า คนร้ายซึ่งเป็นช่างสักชื่อดังที่มีผู้ติดตาม 7 พันคน…

รวบหมอทิพย์ อ้างเป็นศัลยแพทย์ระบบสมองตุ๋นบุคคลากรทางการแพทย์และข้าราชการ สูญเงินหลักล้าน ตามนโยบายของ พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ รรท.ผบ.ตร., พล.ต.อ.ธนา ชูวงศ์ รอง ผบ.ตร., พล.ต.ท.ธัชชัย ปิตะนีละบุตร ผู้ช่วย ผบ.ตร. และ พล.ต.ท.ธิติ แสงสว่าง ผบช.น. ให้ปราบปรามกลุ่มหรือบุคคลที่กระทำความผิดในทุกรูปแบบ ที่สร้างความเดือนร้อนให้กับประชาชนผู้สุจริตจำนวนมาก โรงพยาบาลย่านพญาไท ตรวจสอบพบมีบุคคลแอบอ้างเป็นแพทย์ โดยใช้ชื่อว่าหมอปลา และมีการหลอกลวงผู้เสียหายต้องใช้เงินในการชดใช้ให้ญาติคนตายที่ ตนได้เป็นคนผ่าตัดแล้วเสียชีวิตลง ผู้เสียหายโอนรวมเป็นเงินมูลค่าเสียหายทั้งสิ้น 1,283,620 บาท ซึ่งต่อมาผู้เสียหายพบว่าไม่มีความเกี่ยวข้องใดๆกับโรงพยาบาล            เมื่อวันที่ 24 เม.ย.67 พล.ต.ท.ธิติ แสงสว่าง ผบช.น. , พล.ต.ต.นพศิลป์ พูลสวัสดิ์ รอง ผบช.น. ได้สั่งการให้ พล.ต.ต.ธีรเดช ธรรมสุธีร์ ผบก.สส.บช.น., พ.ต.อ.เกียรติศักดิ์ สระทองออย รอง ผบก.สส.บช.น., พ.ต.อ.อิสเรศ ปาลาพงศ์ รอง ผบก.สส.บช.น. , พ.ต.อ.นิวัฒน์ พึ่งอุทัยศรีรอง ผบก.สส.บช.น. , พ.ต.อ.อรรชวศิษฏ์ ศรีบุณยมานนทน์ ผกก.สส.3 บก.สส.บช.น. , พ.ต.ท.วิโรฒ จนุบุษย์, พ.ต.ท.นิธิ ปิยะพันธุ์ รอง ผกก.สส.3 บก.สส.บช.น. พ.ต.ต.ธัญพีรสิษฐ์ จุลพิภพ สว.กก.สส.3 บก.สส.บช.น., ร.ต.อ.ปรินทร์ ส่วนบุญ รอง สว.กก.สส.3ฯ, ร.ต.อ.นิคม นาชัยภูมิรอง สว.กก.สส.3ฯ, ร.ต.อ.ชัยยุทธ ศักดิ์เพชร รอง สว.กก.สส.3ฯ กับพวกจับกุมตัว             น.ส.สุวรรณอำภา หรือปลา อายุ 35 ปี ภูมิลำเนา แขวงมีนบุรี เขตมีนบุรี กรุงเทพมหานคร ซึ่งเป็นผู้ต้องหาตามหมายจับ ศาลแขวงราชบุรี ที่ จ.52/2567 ลงวันที่ 18 เมษายน 2567             ความผิดฐาน “ฉ้อโกง และ นำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ที่บิดเบือน หรือปลอมไม่ว่าทั้งหมดหรือบางส่วน หรือข้อมูลคอมพิวเตอร์อันเป็นเท็จ โดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ผู้อื่น”      โดยก่อนการจับกุม สืบนครบาลได้รับข้อมูลว่า คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลย่านพญาไท พบผู้ที่ใช้ชื่อว่า สุวรรณอำภา อินทยาวงศ์ ปลอมบัตรประจำตัวบุคลากรของคณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลฯ ซึ่งบัตรประจำตัวที่ปลอมขึ้นมานั้น เป็นบัตรรุ่นเก่าของคณะฯ ซึ่งไม่ได้ใช้แล้วในปัจจุบัน โดยนำบัตรดังกล่าวไปใช้ในการแอบอ้างตนว่าเป็นศัลยแพทย์ระบบสมองของคณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลฯ และนำไปหลอกลวงเอาเงินจากคนไข้และเจ้าหน้าที่ภายในโรงพยาบาลฯ หลายราย โดยคณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลฯ ดำเนินการตรวจสอบแล้วพบว่าไม่มีบุคคลที่ใช้ชื่อดังกล่าวเป็นบุคลากรของคณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลฯ และไม่ใช่ผู้ที่มีความเกี่ยวข้องกับคณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลฯ ซึ่งทำให้คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลฯ ได้รับความเสียหาย          ต่อมาเจ้าหน้าที่ สืบนครบาล ได้ตรวจสอบพบว่าบุคคลดังกล่าคือ น.ส.สุวรรณอำภา หรือปลา อายุ 35 ปี ซึ่งมีหมายจับติดตัวของศาลแขวงราชบุรี โดยพฤติการณ์คือ เมื่อประมาณเดือน มกราคม 2563 ขณะที่ผู้เสียหายใช้เฟสบุ๊คและได้มีบัญชีผู้ใช้งานเฟสบุ๊คชื่อ“ข้อมูล ส่วนตัว” ได้เพิ่มเพื่อนทางเฟสบุ๊คของผู้เสียหาย จากนั้นเฟสบุ๊คดังกล่าวได้ทักข้อความมาพูดคุยและได้แนะนำตัวว่าเป็นแพทย์โรงพยาบาลรามาธิบดี ชื่อว่า น.ส.สุวรรณอำภา หรือปลา ผู้เสียหายก็พูดคุยกันมาเรื่อยๆจนได้คบหากัน โดย น.ส.สุวรรณอำภา หรือปลา จะเดินทางมาหาผู้เสียหายที่ อ.เมืองราชบุรี ทุกๆสัปดาห์ ครั้งละประมาณ 2 วันแล้วก็จะนั่งรถโดยสารกลับไปกรุงเทพฯ โดยบอกผู้เสียหายว่าจะไปทำงานที่โรงพยาบาลดังกล่าว และบางสัปดาห์ผู้เสียหายจะขับรถไปรับที่หน้าโรงพยาบาล แล้วก็ไปส่งด้วย เป็นเช่นนี้อยู่ตลอดเวลาที่คบหากัน ซึ่งต่อมาประมาณเดือนเมษายน 2566 ผู้เสียหายและ น.ส.สุวรรณอำภา หรือปลาฯ ได้เลิกรากันแต่ปรากฎว่าช่วงก่อนที่จะเลิกกันนั้น น.ส.สุวรรณอำภา ได้มาขอให้ผู้เสียหายหาเงินจำนวนประมาณ 300,000 บาท อ้างกับผู้เสียหายต้องใช้เงินในการชดใช้ให้ญาติคนตายที่ ตนได้เป็นคนผ่าตัดแล้วเสียชีวิตลง ผู้เสียหายเชื่อว่าเป็นเรื่องจริงจึงเอาเงินผู้เสียหายโอนให้ไปจำนวนหลายครั้ง รวมเป็นเงินมูลค่าเสียหายทั้งสิ้น 1,283,620 บาท ซึ่งต่อมาผู้เสียหายพบว่า น.ส.สุวรรณอำภา ไม่มีความเกี่ยวข้องใดๆกับโรงพยาบาลรามาธิบดีและไม่ได้เป็นแพทย์หรือเจ้าหน้าที่ของโรงพยาบาลรามาธิบดีแต่อย่างใด ซึ่งต่อมาพนักงานสอบสวนได้ยื่นต่อศาลขออนุมัติหมายจับ…

"บิ๊กโจ๊ก" บุก ปปง. อ้างสำนวน ตร.คดีเว็บพนัน ไม่ชอบด้วยกฏหมาย เสี่ยงผิด ม.157 พลตำรวจเอกสุรเชษฐ์ หักพาล อดีตรองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ หรือ "บิ๊กโจ๊ก" เดินทางไปสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน หรือ ปปง. เพื่อยื่นหนังสือคัดค้านการใช้หลักฐานการตรวจสอบเส้นทางการเงินของพนักงานสอบสวนเครือข่ายมินนี่ ของสน.ทุ่งมหาเมฆ และ สน.เตาปูน ที่ส่งให้ ปปง. ไปก่อนหน้านี้ ว่าไม่สามารถนำมาประกอบสำนวนได้ เนื่องจากเป็นการสอบสวนโดยมิชอบ โดยมีนายวิทยา นีติธรรม โฆษกสำนักงาน ปปง. เป็นตัวแทนรับหนังสือ โดยพลตำรวจเอกสุรเชษฐ์ บอกว่า ที่มายื่นหนังสือในวันนี้เพราะต้องการให้ ปปง.ไปตรวจสอบว่าข้อเท็จจริงที่ สน.ทุ่งมหาเมฆ และ สน.เตาปูน สอบสวนคดีความผิดที่มีมูลค่าเกินกว่า 300 ล้าน ตามหลักกฎหมายจะต้องส่งให้พนักงานสอบสวนของกรมสอบสวนคดีพิเศษ หรือดีเอสไอ ตำรวจจะสอบสวนเองไม่ได้ เมื่อสอบสวนโดยไม่มีอำนาจ การทำรายงานข้อเท็จจริงและความผิดฟอกเงินต่างๆ ส่งมาให้ ปปง. นั้นก็จะมิชอบด้วย ปปง.จะไม่สามารถนำเอาไปดำเนินการยึดอายัดทรัพย์สินต่างๆ หรือดำเนินการอย่างใดอย่างหนึ่งได้ ดังนั้นกระบวนการทั้งหมดก็จะเป็นโมฆะทั้งหมด ต้องเริ่มกระบวนการสอบสวนใหม่อย่างเป็นธรรม คดีไหนเป็นความผิดเกี่ยวกับเจ้าหน้าที่รัฐอำนาจสอบสวนต้องเป็นของ ปปช. ก็ต้องส่ง ปปช. ภายไหน 30 วัน คดีไหนเป็นอำนาจของดีเอสไอ ก็ต้องส่งดีเอสไอ ตนเองจึงได้มายื่นหนังสือคัดค้านและชี้แจงให้ ปปง. เล็งเห็นข้อเท็จจริงในส่วนนี้ ส่วนกระบวนการต่อไปของตนเอง จะเป็นการล่ารายชื่อ 20,000 รายชื่อ เพื่อส่งข้อมูลให้ประธานสภาเพื่อให้ดำเนินการยื่นสอบจริยธรรมและถอดถอนนายสุชาติ ตระกูลเกษมสุข กรรมการ ปปช. ต่อไป ส่วนกรณีที่มีทนายคนดังออกมาแฉเส้นทางการเงินเว็บพนันออนไลน์ที่เชื่อมโยงไปถึงครอบครัวและคนใกล้ชิดของพลตำรวจเอกสุรเชษฐ์นั้น พลตำรวจเอกสุรเชษฐ์บอกว่าเป็นเพียงเรื่องเก่า เปิดมานานแล้ว ก็ให้ว่ากันไป ใครอยากเปิดก็เปิดไปไม่เป็นไร เป็นเรื่องที่อยู่ในสำนวนทั้งหมดแล้ว ลูกน้องตนเองอยู่ในกระบวนการกระทำความผิดก็จริง แต่ตนเองไม่ได้อยู่ในกระบวนการกระทำความผิด เงินของลูกน้อง ไม่ใช่ของตนเอง เมื่อมีขบวนการพยายามโยงความผิดมาที่ตนเอง ก็ต้องต่อสู้กันไป สุดท้ายศาลหรือ ปปช. จะเป็นผู้ตัดสินเอง พร้อมทั้งยืนยันทิ้งท้าย หากสุดท้ายตนเองได้กลับไปเข้ารับตำแหน่งหรือได้เป็นผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ จะไม่มีการเช็คผิดใคร ไม่ใช่คนอาฆาตแค้น

ตำรวจไซเบอร์ซิวสาวแม่สอด โพสต์ขายสลากออนไลน์ เพิ่มรายได้นับหมื่นสืบเนื่องจากเจ้าหน้าที่ชุดสืบสวน กก.2 บก.สอท.4 ได้สืบสวนจากแอปพลิเคชันเฟซบุ๊ก จนพบผู้ใช้บัญชีชื่อ “Amy Maliwan” มีพฤติกรรมในการขายสลากกินรวบ โดยใช้เลขสองตัวล่างและเลขท้ายสองตัวบน ของการออกรางวัลสลากกินแบ่งรัฐบาลในงวดวันที่ 1 และ 16 ของแต่ละเดือนเป็นหลักในการรับรางวัล โดยใช้ตัวเลข 00-99 ออกรางวัล และเชิญชวนให้เพื่อนในเฟซบุ๊กของตัวเอง ซื้อโดยขายในราคาเบอร์ 100 บาท ถ้าถูกรางวัลเลขสองตัวล่างจะได้รางวัล 7,500 บาท ถ้าถูกรางวัลเลขท้ายสองตัวบนจะได้รับ 500 บาท ซึ่งเป็นการกระทำความผิดตาม พ.ร.บ.การพนัน พล.ต.ท.วรวัฒน์ วัฒน์นครบัญชา ผบช.สอท. จึงสั่งการให้ พล.ต.ต.จิตติพนธ์ ผลพฤกษา ผบก.สอท.4พ.ต.อ.อนุชา ศรีสำโรง ผกก.2 บก.สอท.4 มอบหมายเจ้าหน้าที่ตำรวจทำการสืบสวนหาเจ้าของบัญชีเฟซบุ๊กดังกล่าว และรวบรวมพยานหลักฐานเพื่อขอหมายค้น จนสามารถขออนุมัติหมายค้นจากศาลจังหวัดแม่สอดที่ ค56/2567 ลงวันที่ 22 เมษายน 2567 ต่อมา พ.ต.ท.วีระพล กันธวงศ์ รอง ผกก.2 บก.สอท.4 พร้อมเจ้าหน้าที่ตำรวจชุดจับกุม ได้นำหมายค้นดังกล่าวเข้าค้นอาคารแห่งหนึ่ง ตั้งอยู่ที่ ถ.อินทรคีรี ต.แม่สอด อ.แม่สอด จ.ตาก เมื่อถึงอาคารดังกล่าวพบ น.ส.มลิวัลย์ อยู่ภายในอาคารดังกล่าว ซึ่งเปิดเป็นร้านขายก๋วยเตี๋ยว จากการตรวจค้นพบโทรศัพท์มือถือ ยี่ห้อ OPPO ลงชื่อเข้าใช้บัญชีเฟซบุ๊กชื่อ “Amy Maliwan” จากการตรวจสอบพบว่ามีการโพสต์เชิญชวนให้มีการซื้อขายเบอร์สลากกินรวบ งวดประจำวันที่ 2 พฤษภาคม 2567 สอบถามคำให้การผู้ต้องหาเบื้องต้น น.ส.มลิวัลย์ให้การว่า ตนเองมีอาชีพเป็นแม่ค้าขายก๋วยเตี๋ยว ซึ่งมีรายได้แต่ละวันหลักร้อยบาท ซึ่งไม่ค่อยเพียงพอกับการดำรงชีพ ตนเองจึงได้โพสต์ขายสลากออนไลน์ในเฟซบุ๊กของตนเอง ซึ่ง น.ส.มลิวัลย์ฯ ยอมรับว่าตนเองได้ขายสลากออนไลน์มาแล้วได้ประมาณ 1 ปี ซึ่งจะขายได้จำนวน 2 ครั้ง คือวันที่ 1 และวันที่ 16 ของเดือน และได้ขายเป็นจำนวนหลายแผง ซึ่งทำให้ตนเองมีรายได้มากขึ้น โดยมีรายในการขายสลากดังกล่าวกว่าเดือนละ 15,000 - 20,000 บาท จนวันนี้ตนเองได้มาถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจจับกุมตัว ดำเนินคดีตามกฎหมาย  เบื้องต้นเจ้าหน้าที่ตำรวจได้แจ้งข้อกล่าวหา “จัดให้มีการเล่นหรือทำอุบายล่อ ช่วยประกาศโฆษณา หรือชักชวนโดยทางตรงหรือทางอ้อมให้ผู้อื่นเข้าเล่นหรือเข้าพนันในการเล่นซึ่งมิได้รับอนุญาตจากเจ้าพนักงาน” และได้นำตัวส่งพนักงานสอบสวน สภ.แม่สอด เพื่อดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป

“พ.ต.ท.” ปลอมตัวมา แฝงบวชเป็นพระทลายแก๊งมารศาสนา เครือข่ายยาเสพติดเมื่อวันที่ 24 เมษายน 2567 มีรายงานว่า พ.ต.อ.พีรรัฐ โยมา ผกก.สน.สุวินทวงศ์,พ.ต.ท.สยมภู กุลจิตติสิโรดม รอง ผกก.สส.สน.สุวินทวงศ์ และพ.ต.ต.ชัชชัย ใจซื่อ สว.สสฯ  นำกำลังฝ่ายสืบสวน จับกุมผู้ต้องหาเครือข่ายยาเสพติดในวัดแห่งหนึ่ง ตั้งอยู่ในพื้นที่แขวงลำต้อยติ่ง เขตหนองจอก กรุงเทพมหานคร เป็นพระสงฆ์ 2 รูป และเด็กวัดอีก 2 คน พร้อมขยายผลจับกุม 2 พ่อค้ายาเสพติด โดยสืบเนื่องมาจากทาง พ.ต.ท.สยมภู รองผู้กำกับการฝ่ายสืบสวน สน.สุวินทวงศ์ ได้ลาบวชอุปสมบท และได้มาจำวัดที่วัดดังกล่าว ซึ่งในระหว่างจำวัดได้พบเห็นพฤติกรรมพระสงฆ์บางรูปลักลอบเสพยาเสพติดในกุฏิวัด จึงเก็บรวบรวมเป็นข้อมูล จากนั้นเมื่อลาสิกขาบทออกมา วันที่ 19 เมษายน 2567 ได้นำกำลังฝ่ายสืบสวนทำการปิดล้อมวัดดังกล่าว ก่อนจะทำการบุกเข้าตรวจค้นกุฏิพระสงฆ์รูปหนึ่ง พบยาบ้า จำนวน 5 เม็ด พร้อมทำการตรวจปัสสาวะ ปรากฏว่าเป็นสีม่วง จึงทำการจับกุม ต่อมาทางเจ้าหน้าที่ได้ทำการตรวจปัสสาวะพระรูปอื่น ตลอดจนลูกศิษย์(เด็กวัด) พบว่ามีพระสงฆ์ 1 รูป และ ลูกศิษย์วัด อีก 2 คน ผลตรวจพบสารเสพติดในปัสสาวะ จึงทำการจับลาสิกขาบท และควบคุมตัวไปที่ สน.สุวิทวงศ์ จากนั้นได้สืบสวนขยายผลจนทราบว่า ยาเสพติดดังกล่าวได้ซื้อมาจาก โชเฟอร์ขับรถสองแถวย่านดังกล่าว กระทั่งเมื่อวันที่ 22 เมษายน 2567 ทางตำรวจได้รับแจ้งว่า นายเป้ คนขับรถสองแถว ได้นำยาเสพติดมาจำหน่ายที่วัดดังกล่าว จึงนำกำลังไปทำการจับกุมไว้ได้ และล่าสุดเมื่อวันที่ 23 เมษายน 2567 ตำรวจได้ขยายผลไปจับกุมนายเปา คนขับรถสองแถวอีกราย ได้ในพื้นที่เคหะร่มเกล้าเขตลาดกระบัง กรุงเทพมหานคร เบื้องต้นได้นำตัวผู้ต้องหาทั้งหมดส่งพนักงานสอบสวน สน.สุวินทวงศ์ ดำเนินคดีตามกกฎหมายต่อไป

“บิ๊กโจ๊ก” ยื่น ป.ป.ช.อีกรอบ สอบตำรวจทำคดีเว็บพนันออนไลน์ วันนี้ 24 เม.ย. 2567 เวลา 10:55 น. พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล หรือ บิ๊กโจ๊ก รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ได้เดินทางมายังคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) เพื่อ ยื่นหนังสือร้องทุกข์กล่าวโทษหัวหน้าและคณะพนักงานสอบสวนทั้งหมด โดยเมื่อวันจันทร์ ที่ 22 เม.ย. ที่ผ่านมา บิ๊กโจ๊กเคยยื่นเรื่องร้องเรียนกล่าวหานายกรัฐมนตรี และคณะพนักงานสอบสวนทั้งหมด แต่เมื่อวานนี้ ก็มีรายงานจากทางเลขา ป.ป.ช. ว่า ทางบิ๊กโจ๊กเองได้ถอนฟ้องนายกรัฐมนตรี โดยระบุว่า ไม่ติดใจเอาผิด      วันนี้ตนมายื่นร้องทุกข์ดำเนินคดีอาญากับ พล.ต.อ.ธนา ชูวงศ์ รอง ผบ.ตร. และพนักงานสอบสวนทั้งหมดกว่า 200 คน ในความผิดตามมาตรา 157 เจ้าพนักงานปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ จากนี้ไปกระบวนการทั้งหมดจะเริ่มขึ้น และฝากเตือนไปยังพนักงานสอบสวน ว่า คำสั่งของผูับังคับบัญชาโดนมิชอบให้ท่านไปทำ ถ้าตรวจสอบว่ามีการสอบสวนโดยมิชอบ ถ้าโดนย้ายก็สามารถกลับมาได้ แต่ถ้าโดนคดีอาญาจะต้องติดคุก ซึ่งการสอบสวนของ ป.ป.ช. มีความละเอียด และรอบคอบมาก เป็นไปตามขั้นตอนของกฎหมาย / โดยการสอบสวนของ สน.เตาปูน และ สน.ทุ่งมหาเมฆ พบเส้นเงิน 500-600 ล้านบาท แต่ไม่ส่ง DSI ทางพนักงานสอบสวนกลับเอาไว้ทำเอง ซึ่งไม่เป็นไปตามหลักของกฎหมาย และเมื่อ DSI ตรวจสอบแล้วว่าเป็นความผิดของเจ้าหน้าที่รัฐ ก็มีมติส่งให้ ป.ป.ช. ไม่ใช่ส่งให้ตำรวจทำ ซึ่งเชื่อว่่าเป็นการเตรียมการไว้แล้ว ที่จะให้ตนออกจากราชการ       ส่วนเรื่องที่ตนถอนฟ้องนายกรัฐมนตรี ในเรื่องนี้ตนมาตรวจสอบพบว่า พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ เคยยื่นเรื่องไว้แล้ว ป.ป.ช. ได้ดำเนินการไปไกลแล้ว ถ้ายื่นอีกจะเป็นเรื่องซ้ำ จะทำให้การสอบสวนจะล่าช้า

ทนายตั้ม เปิดปฏิบัติการป้อนเหยื่อให้อินทรีย์ จำแนกคดีเว็บพนันออกเป็น 3 กลุ่มกองบังคับการป้องกันและปราบปรามการทุจริตและประพฤติมิชอบ (บก.ปปป) กรุงเทพฯ-24 เม.ย.67 นายษิทรา เบี้ยบังเกิด หรือ ทนายตั้ม เลขาธิการมูลนิธิทีมงานทนายประชาชน เปิดปฏิบัติการ “ป้อนเหยื่อให้อินทรีย์” จำแนกเหยื่อคดีเว็บพนันออนไลน์ BNK Master 3 กลุ่ม และติดตามความคืบหน้ากรณีที่ร้องให้ตรวจสอบพล.ต.อ.ต่อศักดิ์ สุขวิมล ผบ.ตร. ว่าดำเนินการถึงไหนแล้ว   นายษิทรา กล่าวว่า วันนี้มาที่บก.ปปป. เพื่อจะเอาเหยื่อมาป้อนอินทรีย์ ซึ่งอินทรีย์คือพล.ต.ต.จรูญเกียรติ ปานแก้ว รอง ผบช.ก. หรือบิ๊กเต่า หลังจากที่ติดตามเรื่องดังกล่าวมาหลายครั้งยังไม่มีความคืบหน้าในคดี วันนี้จึงทำแผนผังเส้นการเงินของสายบิ๊กต่อ มีการรับโอนเงินมาจาก BNK Master เข้าบัญชีม้า โดยจำแนกออกเป็น 3 กลุ่ม กลุ่มแรกเป็นกลุ่มตำรวจที่โอนเงินเข้าบัญชีม้าคือเป็นคนไปเก็บส่วยแล้วโอนเงินเข้าบัญชีของนายณัฐพงศ์ และนายคชาชาญ กลุ่มที่สองเป็นกลุ่มที่มาเลี้ยงดูคือคนที่ได้รับโอนเงินจากบัญชีม้าเข้าตำรวจ ซึ่งบัญชีของนายณัฐพงศ์ และนายคชาชาญได้โอนเงินให้ตำรวจทุกเดือน เป็นเงินพิเศษที่โอนให้ในทุกเดือน ส่วนกลุ่มที่สามเป็นกลุ่มที่ทั้งโอนให้และรับเงิน เปรียบได้เสมือนน้ำตกคือการไปเก็บมาก่อนจากนั้นเอาไปให้นาย และนายจะทอนกลับมาให้แล้วแต่ว่าจะได้เท่าไหร่ ไม่ว่าจะเป็นส่วยระดับไหนจะเป็นน้ำตกหรือน้ำพุก็คือส่วย ที่สร้างความเดือดร้อนให้กับประชาชน  นายษิทรา กล่าวว่า วันนี้มาดูใจอินทรีย์เต่าว่าจะกล้าดำเนินคดีกับผบ.ตร. ซึ่งเป็นผู้บังคับบัญชาหรือไม่ เพราะผบ.ตร.ไม่ธรรมดา 8 ปี 8 ตำแหน่ง เลื่อนยศมาตลอดทุกปีการเมืองเรียกกันว่าตั๋วช้าง ตำรวจบางคน 8 ปี ยังไม่ขยับไปไหนแต่คนนี้เติบโตมาทุกปี อินทรีย์เต่าจะต้องปราบ ก่อนหน้านี้ที่ให้ความเชื่อมั่นการดำเนินการของบิ๊กเต่า 70-80% ตอนนี้ให้อยู่ที่ 20-30% ครั้งที่แล้วเข้ามาตามเรื่องก็ไม่ได้เจอ คิดว่าคงอิ่มแล้ว แต่ก็จะนำเหยื่อมาให้เรื่อยๆ จะรอดูว่าจะอย่างไรต่อไป หากไม่ทำทุกคนคงจะดูออกและพอจะเดากันได้ หากไม่งับเหยื่อ รังก็เละและเน่า อยากให้ทำอะไรให้ตรงไปตรงมาเหมือนมาตรฐานที่เคยทำไว้ นายษิทรา กล่าวว่า เมื่อวาน(23 เม.ย.)ได้ยื่นแผนผังที่แถลงข่าวและแผนผังที่นำมาวันนี้ ให้กับคณะกรรมการชุดที่นายกรัฐมนตรีตั้งขึ้นมาเพื่อตรวจสอบข้อเท็จจริง โดยมีโอกาสได้พูดคุยเปิดใจกับคณะกรรมการ ซึ่งคณะกรรมการชุดดังกล่าวก็ให้ความเชื่อมั่นและให้ความมั่นใจว่าจะทำคดีด้วยความตรงไปตรงมา ทางคณะกรรมการบอกด้วยคำพูดที่ว่า “ฝ่ามือไม่อาจจะปิดกั้นได้แล้ว” เพราะเรื่องใหญ่มาก ไม่สามารถช่วยเหลือใครได้ จากนี้ประชาชนจะต้องติดตามการทำงานของคณะกรรมการชุดที่นายกรัฐมนตรีตั้งขึ้นมาว่าจะสามารถทำได้จริงหรือไม่ หากเคสนี้ที่ไปร้องแล้วดำเนินคดีกับอีกคน แต่หากอีกคนไม่ดำเนินคดีและบอกว่าไม่มีความผิด ก็เปรียบเสมือน มวยล้มต้มคนดู นายษิทราได้อธิบายแผนผังเส้นทางการเงินที่นำมามอบเป็นหลักฐานในวันนี้ โดยนายษิทราอธิบายว่า ด้านซ้าย จะเป็นเงินที่ได้จากการเก็บส่วย 18 ธุรกิจ ส่วนฝั่งขวาเป็นเส้นเงินจากเว็บพนัน ซึ่งมียอดเงินหมุนเวียนรวมกว่า 800 ล้านบาท ทั้งนี้เป็นเพียงการตรวจสอบจากบัญชีเพียงบัญชีเดียว ยังมีอีกหลายบัญชีที่ยังไม่ได้ตรวจสอบ ซึ่งคาดว่ายอดอาจจะสูงถึงหลักหลายพันล้านบาท จากนั้นนายษิทราได้นำหลักฐานไปมอบให้กับตำรวจกก.2 บก.ปปป. ที่ชั้น 15 อาคารพิทักษ์สันติ กองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง นายษิทรา กล่าวว่า หลังจากที่ได้นำหลักฐานไปมอบให้กับเจ้าหน้าที่ทำให้ทราบว่าคดีนี้ทางบก.ปปป. ได้ประมวลเรื่อง และส่งไปที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ตร.) เพื่อให้ตร. ตั้งคณะทำงานคดีนี้ขึ้นมา หลังจากนี้จะต้องไปตามเรื่องกับพล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ รักษาราชการแทนผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (รรท.ผบ.ตร.) ว่าจะดำเนินการอย่างไรต่อไปทราบว่าส่งเรื่องไปตั้งแต่สัปดาห์ที่ผ่านมา เท่าที่ตนได้ฟังตำรวจคุยกันทราบว่าหลักฐานที่ตนมอบให้ไป ทุกอย่างครบหมดแล้ว ใครทำก็ง่ายเพราะชัดเจนแล้ว อยู่ที่ว่าจะให้ใครฟัน จะต้องติดตามกันต่อว่าทางตร.จะพิจารณาอย่างไร ซึ่งจะหาโอกาสไปพบและติดตามความคืบหน้าต่อไป นายษิทรา กล่าวว่า ทางรรท.ผบ.ตร.จะต้องพิสูจน์ตัวเอง ว่าจะสามารถปัดกวาดบ้านตัวเองได้หรือไม่ และคดีดังกล่าวน่าจะใหญ่กว่าคดีของพล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล เยอะ ทั้งนี้ในวันพรุ่งนี้ (25 เม.ย.) จะไปพบพนักงานสอบสวนสน.เตาปูน เพื่อให้การเพิ่มเติม และในวันที่ 26 เม.ย. จะไปยื่นหนังสือกับคณะกรรมการพิจารณาเรื่องร้องเรียนตำรวจ (ก.ร.ตร.) เพื่อคัดค้านตำรวจบางนายที่มาช่วยพิจารณาเรื่องร้องเรียน เพราะพิจารณาดูแล้วไม่เหมาะสม

เจ้าหน้าที่ตำรวจพบชิ้นส่วน กะโหลกศีรษะแล้ว ใส่ถุงดำถูกนำมาทิ้งซอยตรงข้าม คาดตัวเงินตัวทองฉีกถุงขาดวันที่ 23 เม.ย.67 เวลา 15.00 น.เจ้าหน้าที่ตำรวจชุดสืบสวนสอบสวน สภ.บางบัวทอง ขยายพื้นที่ค้นหาชิ้นส่วนมนุษย์ จากกรณีเมื่อวันที่ 19 เม.ย.ที่ผ่านมา เจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.บางบัวทองรับแจ้งเหตุพบชิ้นส่วนมนุษย์บริเวณข้อมือ และชิ้นส่วนต่างๆ ถูกชำแหละและใส่ถุงดำไปทิ้งในซอยเปลี่ยว และเมื่อวันที่ 21 เม.ย.67 เจ้าหน้าที่ตำรวจยังได้รับแจ้งว่าพบเลื่อยและขวาน ซึ่งคาดว่าเป็นอุปกรณ์ที่ใช้ในการก่อเหตุห่างจากจุดแรกที่พบชิ้นส่วนมนุษย์เพียง 2 กม. ล่าสุดเมื่อเวลา 15.00 น.เจ้าหน้าที่ตำรวจชุดสืบสวนสอบสวน สภ.บางบัวทอง ขยายพื้นที่ค้นหาจุดน่าสงสัยที่คาดว่าจะเป็นจุดทิ้งศพ และได้ตรวจพบชิ้นส่วนที่เป็นกะโหลกศีรษะมนุษย์และข้อต่อเล็กๆ บริเวณ ซอย ผู้ใหญ่เลี่ยม หมู่4 ต.พิมลราช อ.บางบัวทอง  จ.นนทบุรี ซึ่งเป็นซอยที่อยู่ฝั่งตรงข้ามกับจุดแรกที่พบชิ้นส่วนข้อมือเพียง 1.5 กม.เท่านั้น โดยชิ้นส่วนดังกล่าวถูกนำมาทิ้งในป่าข้างทางและคาดว่าได้ถูกสัตว์หรือตัวเงินตัวทองฉีกกระชากถุงขยะออกเพราะมีเศษถุงดำกระจายเกลื่อน และมีการลากชิ้นส่วนมนุษย์ออกมา  เบื้องต้นเจ้าหน้าที่ตำรวจสันนิฐานว่าอาจจะเกี่ยวข้องกันกับชิ้นส่วนที่เจอก่อนหน้านี้ และประสานเจ้าหน้าที่จากสถาบันนิติวิทยาศาสน์และขอเจ้าหน้าที่ทีมดำน้ำอาสากู้ภัยมูลนิธิป่อเต็กตึ๊งเพื่อลงค้นหา เนื่องจากในซอยดังกล่าวมีบ่อน้ำ คาดว่าอาจจะมีชิ้นส่วนถูกทิ้งอยู่ในบ่อน้ำ

เจ้าของบ้านยอมใจ มอไซด์คันเดียวยังขนไปได้ โจรย่องงัดประตูเหล็กดัดหลังบ้าน ขนโต๊ะเหล็กขนาดใหญ่และประตูเหล็กดัดไปวันที่ 23 เม.ย.67 เวลา 13.00 น.ผู้สื่อข่าวลงพื้นที่ไปยังหมู่บ้านแห่งหนึ่งย่านยางใหญ่ ต.เสาธงหิน อ.บางใหญ่ จ.นนทบุรี หลังถูกคนร้ายแอบย่องเข้าด้านหลังบ้านขณะไม่มีคนอยู่ ตัดประตูเหล็กดัดและโต๊ะเหล็กตัวใหญ่ซึ่งวางทิ้งไว้ใส่รถจยย.ขี่หลบหนีไป กล้องวงจรปิดจับภาพเมื่อวันที่ 21 เม.ย.ที่ผ่านมา เวลาประมาณ 14.00 น.ผู้ก่อเหตุเป็นชาย 1 คน อายุประมาณ 35-40 ปี สวมเสื้อยืดสีครีม กางเกงขาสั้นสีแดงคาดดำ สวมหมวกแก๊ปสีดำ ขี่รถจยย.ยี่ห้อ ยามาฮ่า รุ่น มีโอ สีขาว มีตะกร้าด้านหน้า ไม่ทราบแผ่นป้ายทะเบียน ขณะกำลังขนประตูเหล็กดัดและโต๊ะเหล็กขนาดใหญ่ โดยขนเอาไว้บนเบาะรถและนั่งทับก่อนจะขี่รถหลบหนีไป. นาย นิรันดร์ แจ้งตระกูล อายุ 53 ปี (ผู้เสียหาย) อาชีพ ค้าขาย เล่าว่า เหตุการณ์เกิดเมื่อวันอาทิตย์ที่ 21 เม.ย.67 เวลาประมาณบ่าย 2 คนร้ายน่าจะเคยมาดูลาดเลาไว้ก่อนแล้ว เพราะแฟนเคยเห็นคนมาป่วนเปี้ยนอยู่แถวนี้บ่อยๆ ไม่รู้ว่าเป็นคนแถวนี้รึเปล่า เพราะไม่คุ้นหน้าเลย จากกล้องวงจรปิดจะเห็นคนร้ายจี่รถจยย.เข้ามาคนเดียวเหมือนตั้งใจจะมาเอาเหล็กอยู่แล้ว และเข้ามาที่ประตูเหล็กดัดด้านหลังบ้านตัดกุญแจและยกบานประตูออกไปทั้งบาน และเดินมายกโต๊ะเหล็กสีฟ้าซึ่งเป็นเหล็กอย่างดี หนา น้ำหนักเยอะ ก่อนจะเอาทั้งประตูและโต๊ะเหล็กขึ้นรถจยย.ขับออกไป  แต่ยังเหลือโต๊ะเหล็กสีดำอีก2ตัว คิดว่าเขาคงจะมาเอาทีหลัง คาดว่าน่าจะเอาไปขายที่ร้านขายของเก่าเพราะเหล็กน่าจะขายได้ราคาดี ตนเข้าใจว่าช่วงนี้เศรษฐกิจไม่ค่อยดีมีคนแบบนี้เยอะ เอาจริงๆ ในส่วนของโต๊ะเหล็กถ้าเข้ามาขอกันดีๆ ตนยินดียกให้เลยเพราะไม่ได้ใช้อะไรอยู่แล้ว แต่ติดใจตรงประตูเหล็กดัดเนี้ยแหละ ถ้ามีสามัญสำนึกซักหน่อยตนก็คงไม่เอาเรื่อง เพราะถอดประตูไปแบบนี้ ความปลอดภัยของคนในบ้านและทรัพย์สินในบ้านก็เสี่ยงแล้ว โชคดีที่คนร้ายไม่ได้งัดเข้าไปในบ้าน ไม่งั้นคงสูญเสียมากกว่านี้ ตอนนี้คงต้องหาอะไรมาปิดเอาไว้ก่อนเพื่อป้องกันขโมย หลังจากนี้ก็จะไปลองถามวินจยย.และตามร้านขายของเก่าดูว่ามีใครเอาประตูเหล็กและโต๊ะเหล็กมาขายบ้างไหม ก็อยากฝากไปถึงคนเอาไป อยากให้เอาประตูมาคืนเท่านั้นส่วนโต๊ะถ้าอยากได้ตนยกให้  แต่ถ้ายังไม่เอามาคืนก็ต้องปล่อยให้เป็นไปตามกฏหมาย เบื้องต้นได้เข้าแจ้งความไว้กับพนักงานสอบสวน สภ.บางใหญ่ เพื่อให้เจ้าหน้าที่ตำรวจติดตามตัวคนร้ายมาดำเนินคดีตามกฏหมายต่อไป.

CHANGE LANGUAGE
Powered by
คนข่าวออนไลน์ khonkhao.com
ตีแผ่ ทุกเรื่องราว เจาะลึกทุกความจริง ช่วยเหลือทุกพื้นที ด้วยทีมข่าวมืออาชีพ
บริการของเรา
รูปภาพของเรา
ที่ตั้งของเรา
บัญชีชำระเงิน

คนข่าวออนไลน์ khonkhao.com

ตีแผ่ ทุกเรื่องราว เจาะลึกทุกความจริง ช่วยเหลือทุกพื้นที ด้วยทีมข่าวมืออาชีพ

แชร์หน้านี้
โหลดหน้าใหม่
คัดลอกลิงก์