บทความทั้งหมด

1,195 รายการ

DSI จับผู้ต้องหาหลานโกฟุก ร่วมฟอกเงินเครือข่ายพนันและหวยออนไลน์  วานนี้ (วันจันทร์ที่ 22 เมษายน 2567) เวลาประมาณ 10.40 น. ศูนย์สืบสวนสะกดรอยและการข่าว กรมสอบสวนคดีพิเศษ ภายใต้การอำนวยการของ นายวิทวัส สุคันธรส ผู้อำนวยการศูนย์สืบสวนสะกดรอยและการข่าว ได้มอบหมายให้นายวุฒิไกร ศรีธวัช ณ อยุธยา ผู้อำนวยการส่วนสะกดรอยและการข่าว พร้อมด้วยเจ้าหน้าที่ชุดปฏิบัติการที่ 4 ได้ร่วมกันจับกุม นายพงศ์พิพัฒน์ (สงวนนามสกุล) ผู้ต้องหาตามหมายจับของศาลอาญาที่ 454/2567 ในคดีพิเศษที่ 49/2567 โดยผู้ต้องหาเป็นหลานโกฟุก ทำหน้าที่ดูแลรับโอนเงินจากบัญชีม้าเครือข่ายพนันและหวยออนไลน์โกฟุก เจ้าพนักงานผู้จับกุมจึงได้แจ้งข้อหา โดยทุจริตหรือโดยหลอกลวงนำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์อันเป็นเท็จโดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ประชาชน อันมิใช่การกระทำความผิดฐานหมิ่นประมาทตามประมวลกฎหมายอาญา ร่วมกันจัดให้มีการเล่นหรือชักชวนผู้อื่นให้พนันออนไลน์ ความผิดฐานเป็นอั้งยี่ และความผิดฐานฟอกเงิน ซึ่งเจ้าพนักงานจับกุมได้ที่กองคดีการฟอกเงินทางอาญา กรมสอบสวนคดีพิเศษ กรุงเทพมหานคร          ทั้งนี้ เจ้าพนักงานชุดจับกุมได้แจ้งข้อกล่าวหาและสิทธิตามกฎหมาย และรวมถึงแจ้งว่าต้องบันทึกภาพและเสียงอย่างต่อเนื่องในขณะจับและควบคุมตัว ตามพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการทรมานและการกระทำให้บุคคลสูญหาย พ.ศ. 2565 เรียบร้อยแล้ว จึงได้ส่งตัวให้พนักงานสอบสวนคดีพิเศษกองคดีการฟอกเงินทางอาญา ผู้รับผิดชอบสำนวน รับตัวผู้ต้องหาพร้อมบันทึกการจับกุมเพื่อไปดำเนินการตามกฎหมายต่อไป          การดำเนินการในการติดตามกับกุมผู้ต้องหาตามหมายจับในคดีพิเศษ เป็นไปตามข้อสั่งการของ พันตำรวจตรียุทธนา แพรดำ รองอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ รักษาราชการแทนอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ ที่กำหนดให้ศูนย์สืบสวนสะกดรอยและการข่าว ซึ่งเป็นหน่วยขึ้นตรงการบังคับบัญชา จัดชุดปฏิบัติการติดตาม จับกุมผู้ต้องหาตามหมายจับ โดยเฉพาะหมายจับที่ใกล้ขาดในอายุความ เพื่อนำตัวผู้ถูกกล่าวหาว่ากระทำความผิดที่ยังหลบหนี เข้าสู่กระบวนการยุติธรรมต่อไป

รวบแอดมินรับยิงแอดเว็บพนันออนไลน์เครือข่าย AK เจ้าของร้านหอย แจ้งข้อหาหนักฟอกเงิน   วันนี้ (วันจันทร์ที่ 22 เมษายน 2567) เวลาประมาณ 18.15 น. ชุดปฏิบัติการที่ 3 ของศูนย์สืบสวนสะกดรอยและการข่าว กรมสอบสวนคดีพิเศษ ภายใต้การอำนวยการของ นายวิทวัส สุคันธรส ผู้อำนวยการศูนย์สืบสวนสะกดรอยและการข่าว ได้ร่วมกันจับกุม นายชาตรี  (สงวนนามสกุล) ผู้ต้องหาตามหมายจับของศาลอาญาที่ จ.1981/2566 ลงวันที่ 23 มิถุนายน 2566 คดีพิเศษที่ 5/2566 ซึ่งต้องหาว่ากระทำความผิดฐาน ร่วมกันจัดให้มีการเล่น หรือ ทำอุบายล่อช่วยประกาศโฆษณา หรือ ชักชวนโดยทางตรงหรือทางอ้อมให้ผู้อื่นเข้าเล่น หรือ เข้าพนันในการเล่นซึ่งมิได้รับอนุญาตจากเจ้าพนักงาน และร่วมกันฟอกเงิน           กรณีดังกล่าวเป็นคดีพิเศษที่ 5/2566 ของกองคดียาเสพติด ซึ่งผู้ต้องหารายดังกล่าวมีพฤติการณ์ทำหน้าที่ยิงแอดโฆษณา ชักชวนคนเล่นพนันออนไลน์ และทำหน้าที่เป็นแอดมินให้กับเจ้าของร้านหอยชื่อดังในคดีพิเศษที่ 5/2566 คณะพนักงานสอบสวนได้มีความเห็นควรสั่งฟ้องผู้ต้องหาหลายรายส่งพนักงานอัยการไปก่อนหน้านี้แล้ว และมีผู้ต้องหาหลายรายหลบหนีหมายจับไปตั้งแต่ระหว่างสอบสวน สำหรับผู้ต้องหารายดังกล่าวนี้ได้หลบหนีไปพร้อมเจ้าของกิจการ ซึ่งได้หลบหนีอยู่ในต่างประเทศ และเจ้าหน้าที่จับกุมได้ที่บริเวณด้านข้างตลาดสุวรรณเกลียวทอง หทัยราษฏร์ แขวงบางชัน เขตคลองสามวา กรุงเทพมหานคร            ทั้งนี้ ในการจับกุม เจ้าหน้าที่ได้แจ้งข้อกล่าวหาและสิทธิตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา ให้ผู้ถูกจับกุมทราบ รวมทั้งแจ้งว่าต้องบันทึกภาพและเสียงอย่างต่อเนื่องในขณะจับและควบคุมตัวจนกระทั่งส่งตัวให้พนักงานสอบสวนคดีพิเศษ ตามพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการทรมานและการกระทำให้บุคคลสูญหาย พ.ศ. 2565 ให้ผู้ต้องหาทราบแล้ว และได้ควบคุมตัวส่งมอบให้พนักงานสอบสวนคดีพิเศษกองคดียาเสพติด ผู้รับผิดชอบสำนวนคดีนี้ เพื่อดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป การดำเนินการในการติดตามจับบกุมผู้ต้องหาตามหมายจับในคดีพิเศษ เป็นไปตามข้อสั่งการของ พันตำรวจตรี ยุทธนา แพรดำ รองอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ รักษาราชการแทนอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษที่กำหนดให้ศูนย์สืบสวนสะกดรอยและการข่าว ซึ่งเป็นหน่วยขึ้นตรงการบังคับบัญชา จัดชุดปฏิบัติการติดตามจับกุมผู้ต้องหาตามหมายจับ โดยเฉพาะหมายจับที่ใกล้ขาดในอายุความ เพื่อนำตัวผู้ถูกกล่าวหาว่ากระทำความผิดที่ยังหลบหนี เข้าสู่กระบวนการยุติธรรมต่อไป

รวบชาวจีน วูนูอาตู เปิดบริษัทนอมินีนำเข้ารถหรูกองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง โดย กองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเศรษฐกิจ (บก.ปอศ.) ภายใต้การอำนวยการของ พล.ต.ท.จิรภพ ภูริเดช ผบช.ก. ได้สั่งการให้ พล.ต.ต.พุฒิเดช บุญกระพือ ผบก.ปอศ. , พ.ต.อ.วิจักขณ์  ตารมย์ , พ.ต.อ.จักรริช  เสริบุตร รอง ผบก.ปอศ. และ พ.ต.อ.กริช  วรทัต ผกก.4 บก.ปอศ.เจ้าหน้าที่ชุดจับกุมนำโดย พ.ต.ท.สาธิต หาวงษ์ชัย สว.กก.4 บก.ปอศ. พร้อมกำลังเจ้าหน้าที่ กก.4 บก.ปอศ.ร่วมกันจับกุม - Mr.Shao หรือ นายเชาฯ อายุ 35 ปี สัญชาติ วูนูอาตู ตามหมายจับศาลอาญาที่ 2884/2565 ลงวันที่ 22 ธันวาคม 2565 ฐานความผิด คนต่างด้าวประกอบธุรกิจโดยไม่ได้รับอนุญาต     พฤติการณ์ กลุ่มผู้ต้องหาได้เปิดบริษัทจำกัด จำนวน 3 บริษัท ประกอบธุรกิจ นำเข้ารถหรู จำหน่ายตัวแทนจำหน่ายน้ำมันเครื่อง น้ำมันหล่อลื่น น้ำมันเชื้อเพลิงที่ใช้สำหรับรถยนต์ เครื่องยนต์ เครื่องจักรกล รับจ้างขุดลอก วางท่อ และทำถนน งานโยธาทุกประเภท และ ตัวแทนจำหน่ายอะไหล่ อุุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ฯ โดยปรากฏมีคนไทยถือหุ้นและเป็นกรรมการ แต่จากการสืบสวนสอบสวนพบว่ากลุ่มคนไทยดังกล่าวไม่ได้เป็นเจ้าของกิจการที่แท้จริงและไม่มีศักยภาพหรือสถานะทางการเงินในการดำเนินธุรกิจได้จริง จากนั้นพนักงานสอบสวนได้รวบรวมพยานหลักฐานขออนุมัติต่อศาล ออกหมายจับผู้ต้องหารวม 4 คน โดยเจ้าพนักงานตำรวจได้จับตัวผู้ต้องหา 3 ราย ส่งพนักงานสอบสวนเพื่อดำเนินคดีตามกฎหมายแล้ว แต่ผู้ต้องหาในรายของ Mr.Shao หรือ นายเชาฯ ซึ่งเป็นตัวการใหญ่และเป็นเจ้าของเงินทุนจากต่างประเทศที่เข้ามาเปิดบริษัทจดทะเบียนให้คนไทยถือหุ้นแทนเพื่อประกอบกิจการโดยหลบเลี่ยงกฎหมายนั้น พบว่าได้ชื่อสวมบัตรประชาชนคนไทยและถูกศาลจังหวัดปัตตานีออกหมายจับ ในความผิดฐาน "แจ้งความอันเป็นเท็จแก่เจ้าพนักงานซึ่งอาจทำให้ ผู้อื่นหรือประชาชนเสียหาย, แจ้งให้เจ้าพนักงานผู้กระทำการตามหน้าที่จดข้อความอันเป็นเท็จลงในเอกสาร ราชการซึ่งมีวัตถุประสงค์สำหรับใช้เป็นพยานหลักฐานโดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ผู้อื่นหรือ ประชาชน, เป็นผู้สนับสนุนในความผิดฐานยื่นขอมีบัตรโดยมิได้มีสัญชาติไทยด้วยการแสดงหลักฐานอันเป็นเท็จ หรือปกปิดข้อความจริงต่อเจ้าหน้าที่และแจ้งข้อความหรือแสดงหลักฐานอันเป็นเท็จต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ในการ ขอมีบัตรประชาชน" ถูกควบคุมตัวตามหมายจับศาลจังหวัดปัตตานีในคดีอื่นที่เรือนจำกลางปัตตานี เจ้าพนักงานตำรวจได้ตรวจสอบทราบว่าผู้ต้องหาจะถูกปล่อยตัวในวันนี้ จึงได้ประสานข้อมูลกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทำอายัดตัวและควบคุมตัวนำตัวส่ง พนักงานสอบสวน กก.4 บก.ปอศ. เพื่อดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป​สอบถามคำให้การผู้ต้องหาเบื้องต้น ให้การปฏิเสธตลอดข้อกล่าวหา ​เตือนภัย  บก.ปอศ. ฝากเตือนบุคคลผู้มีสัญชาติไทยอย่าให้คนอื่นนำชื่อตัวเองเข้าไปถือหุ้นในบริษัทใดๆ หรือแสดงตนว่าเป็นผู้ถือหุ้นในบริษัทซึ่งมีคนต่างชาติเป็นเจ้าของโดยที่ตัวเองไม่ได้ลงทุนจริงในลักษณะถือหุ้นแทนคนต่างชาติหรือนอมินีให้กับคนต่างชาติเพื่อประกอบธุรกิจ เพราะมีความผิด พ.ร.บ.ประกอบธุรกิจคนต่างด้าว พ.ศ.2542 และกฎหมายอื่นที่เกี่ยวข้อง  ซึ่งการถือหุ้นแทนคนต่างชาติส่งผลให้เศรษฐกิจไทยได้รับความเสียหายในภาพรวมเนื่องจากเป็นธุรกิจที่แข่งขันกับคนไทยโดยตรงและผู้รับผลประโยชน์จากการทำธุรกิจ       ที่แท้จริงเป็นคนต่างชาติ

"ทนายตั้ม" แถลงตั้งข้อสงสัยตำรวจทำคดี 2 นายพลตำรวจพัวพันการฟอกเงินเครือข่ายเว็บพนัน 2 มาตรฐาน  นายษิทรา เบี้ยบังเกิด แถลงข่าวตั้งข้อสงสัยตำรวจทำคดี 2 นายพลตำรวจพัวพันการฟอกเงินเครือข่ายเว็บการพนัน สองมาตรฐาน หลังพลตำรวจเอกสุรเชษฐ์ หักพาล พร้อมพวกถูกให้ออกราชการไว้ก่อน แต่กลับพลตำรวจเอกต่อศักดิ์ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ กับไม่มีความคืบหน้า       จากกรณีพลตำรวจเอกสุรเชษฐ์ หักพาล รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ พร้อมพวกรวม 5 คนถูกให้ออกจากข้าราชการไว้ก่อน ที่เข้าไปพัวพันการฟอกเงินเว็บการพนันออนไลน์ เมื่อวันที่ 18 เมษายนที่ผ่านมา กลายเป็นเรื่องที่นายษิทรา เบี้ยบังเกิด หรือทนายตั้ม เลขาธิการมูลนิธิทีมงานทนายประชาชน แถลงข่าวนำแผนผังส้นทางการเงินรับเงินบัญชีม้าจากเครือข่ายเว็บพนันออนไลน์ ที่อ้างว่าเป็นหลักฐานที่ใช้ดำเนินคดี พลตำรวจเอกสุรเชษฐ์ หักพาล หยิบยกออกมาเปรียบเทียบกับการดำเนินคดี พลตำรวจเอกต่อศักดิ์ สุวิมล ที่มีบุคคลใกล้ชิดเข้าไปพัวพันการรับผลประโยชน์จากเครือข่ายเว็บพนันเดียวกัน แต่คดีกลับไม่มีความคืบหน้า ทั้งที่ตัวเองได้รวบรวมพยานหลักฐานส่งให้กับพนักงานสอบสวน สน.เตาปูนและกองบังคับการป้องกันปราบปรามการทุจริตและประพฤติไม่ชอบ หรือ บก. ปปป. ไปแล้วก่อนหน้านี้ จึงตั้งข้อสังเกตว่า พนักงานสอบสวนผู้ที่ทำคดีหรือผู้ทีอำนาจในสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ดำเนินการแบบสองมาตรฐาน      จากแผนผังที่นายษิทรา นำมาเปิดเผยวันนี้ ทั้งแผนผังเส้นทางการเงินทั้งของพลตำรวจเอกสุรเชษฐ์ และพลตำรวจเอกต่อศักดิ์  ถึงเส้นทางการเงินที่มีเงินโอนจากบัญชีม้า ได้นำมาเปรียบเทียบถึวบัญชีที่ พันตำรวจโทคริษฐ์ เป็นผู้ดูแลถึง 4 บัญชี โอนไปให้แม่ กับน้องชายของพลตำรวจเอกสุรเชษฐ์ หักพาล เดือนล่ะ 50,000 บาท และโอนค่ารักษาพยาบาลที่โรงพยาบาลแห่งหนึ่งกว่า 1,000,000 บาท ระบุว่าพฤติกรรมมีลักษณะคล้ายกันกับ เส้นเงินที่โยงไปถึงพลตำรวจเอกต่อศักดิ์ ที่มีการโอนเงินรายเดือน จ่ายค่าสาธารณูปโภคต่าง ๆ ให้กับบัญชีภรรยากว่า 50,000 บาท ต่อเดือน รวมถึงบัญชีคนสนิทของพลตำรวจเอกต่อศักดิ์ จึงอยากให้ตำรวจดำเนินคดีกับทั้งสองฝั่งอย่างมีมาตรฐาน ไม่เลือกปฎิบัติ และในวันพรุ่งนี้ จะนำแผนผังที่นำมาเปิดเผยวันนี้ไปยื่นให้กับพลตำรวจตรีจรูญเกียรติ ปานแก้ว รองผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง พร้อมไปทวงถามความคืบหน้าทางคดี

นาทีระทึก รถบรรทุกน้ำอัดลมเบรคเสียพุ่งลงถนนชนขอบกั้นลานจอดจยย.เสียหายหลายคัน  จากกรณีเฟซบุ๊กเพจ Pakkred CCTV ได้โพสต์คลิปวิดิโอ ขณะที่รถบรรทุกน้ำอัดลมชื่อดัง 6 ล้อ  ขับขึ้นฟุตบาตขอบกั้นลานจอดรถเกาะกลางถนนพุ่งลงมาบนถนนตรงจุดกลับรถ ก่อนจะไปชนขอบกั้นลานจอดรถจยย.อีกฝั่ง ทำให้รถจักรยานยนต์ที่จอดอยู่ลานจอดรถได้รับความเสียหายหลายคัน โดยโพสต์พร้อมระบุข้อความว่า “ ประชาชนท่านใดจอดจักรยานยนต์ไว้ใต้สะพานพระรามสี่ แล้วได้รับความเสียหายจากเหตุรถยนต์หกล้อปีนข้ามเกาะกลาง ติดต่อรับภาพ และทะเบียนรถเพื่อเรียกร้องค่าเสียหายได้ที่งานcctvเทศบาลนครปากเกร็ด 025835323 ตลอด 24 ช.ม. ครับ ”       ล่าสุดเมื่อคืนที่ผ่านมา วันที่ 22 เม.ย.67 ผู้สื่อข่าวลงพื้นที่เกิดเหตุ บริเวณจุดกลับรถหน้าโลตัสปากเกร็ด อ.ปากเกร็ด จ.นนทบุรี พบว่าแผงเหล็กกั้นรถจยย.บริเวณลานจอดรถใต้สะพานพระราม4 ได้รับความเสียหายจากการถูกชน สอบถามนายเฉลิม ไวยวารี อายุ 53 วินจยย. ผู้เห็นเหตุการณ์ เปิดเผยว่า เวลาประมาณ 15.00 น. ตนได้ยินเสียงดังโครมบริเวณลานลานลานจอดรถใต้สะพาน พระราม 4 จึงหันไปดูปรากฏว่า พบรถบรรทุกน้ำอัดลมหกล้อ พุ่งลงมาจากฟุตบาทถนนลานจอดรถ ข้ามไปชนขอบกั้นลานจอดรถจยย.อีกฝั่ง ซึ่งตอนเกิดเหตุมีรถจยย. 1 คัน เกือบโดนรถบรรทุกชนโชคดีที่ไม่เป็นไรหลบทัน แต่รถจยย.ที่จอดอยู่ลานจอดใต้สะพานพระราม4 น่าจะเสียหายหลายคัน จากนั้นคนก็รีบวิ่งออกมาดู ส่วนสาเหตุตนคาดว่าคันเร่งของรถบรรทุกน่าจะค้างจึงเกิดเหตุดังกล่าว โชคดีที่ไม่มีใครได้รับบาดเจ็บ เบื้องต้นทางด้าน พ.ต.ต.ฐาปนพงษ์ พึ่งมี สว.จราจร สภ.ปากเกร็ด ได้ตรวจสอบเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นพบว่า รถ 6 ล้อเกิดเบรกเสีย ทำให้รถพุ่งออกมาจากเกาะกลาง แล้วชนรถจยย.ฝั่งตรงข้าม ได้รับความเสียหายหลายคัน จึงได้มีการเรียกประกันมาตกลงพูดคุย

รวบบัญชีม้าแก๊งหลอกให้กู้ยืมออนไลน์ หลอกมีพัสดุผิดกฎหมาย พบมีหมายจับ 6 หมาย  นโยบายของ พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ รรท.ผบ.ตร. ,พล.ต.อ.ธนา ชูวงศ์ รอง ผบ.ตร. , พล.ต.ท.ธัชชัย ปิตะนีละบุตร ผู้ช่วย ผบ.ตร. และ พล.ต.ท.ธิติ แสงสว่าง ผบช.น. ให้ปราบปรามกลุ่มเครือข่ายองค์กรอาชญากรรมทางออนไลน์ ที่กระทำความผิดทุกรูปแบบ ซึ่งสร้างความเดือดร้อนให้กับประชาชนผู้สุจริตจำนวนมาก            เมื่อวันที่ 22 เม.ย.67 พล.ต.ท.ธิติ แสงสว่าง ผบช.น. , พล.ต.ต.วสันต์ เตชะอัครเกษม รอง ผบช.น. , พล.ต.ต.นพศิลป์ พูลสวัสดิ์ รอง ผบช.น. ได้สั่งการ พล.ต.ต.ธีรเดช ธรรมสุธีร์ ผบก.สส.บช.น. , พ.ต.อ.วรพจน์ รุ่งกระจ่าง , พ.ต.อ.นิวัตน์ พึ่งอุทัยศรี  รอง ผบก สส.บช.น. , พ.ต.อ.จักราวุธ คล้ายนิล ผกก.วิเคราะห์ข่าวและเครื่องมือพิเศษ บก.สส.บช.น. ,พ.ต.ท.พัชรพงษ์ กาญจนวัฏศรี รอง ผกก.วิเคราะห์ข่าวและเครื่องมือพิเศษ บก.สส.บช.น. , พ.ต.ท.นิธิ ปิยะพันธุ์ รอง ผกก.วิเคราะห์ข่าวฯ ได้สั่งการให้ พ.ต.ท.ธีวร์ราธิป ชูดวง สว.กก.วิเคราะห์ฯ,ร.ต.อ.พีระเกียรติ ศิริฤทัยวัฒนา ร.ต.ท.ณรงณ์ศักดิ์ สนิทไทย ร.ต.ท ไพโรจน์ บุรีรักษ์ และเจ้าหน้าที่ กก.วิเคราะห์ข่าวฯ สืบนครบาล จับกุม              นายสมเกียรติ อายุ 32 ปี ภูมิลำเนา แขวงทุ่งสองห้อง เขตหลักสี่ กรุงเทพมหานครหมายจับศาลอาญารัชดา ที่ 4306/2566 ลงวันที่ 22 พ.ย.66            ข้อหา "ร่วมกันฉ้อโกงประชาชน และร่วมกันนำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ปลอมไม่ว่าทั้งหมดหรือบางส่วน หรือข้อมูลอันเป็นเท็จเข้าสู่คอมพิวเตอร์โดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ประชาชน" โดยจับกุมได้ที่บริเวณ ถนนช่างแสง-วัดพระญาติ จ.พระนครศรีอยุธยา  ตรวจสอบในฐานระบบข้อมูล พบหมายจับอีก 5 หมาย ดังนี้1. หมายจับศาลจังหวัดชลบุรี ที่ 403/2566 ลงวันที่ 25 พฤษภาคม 2566 ซึ่งต้องหาว่ากระทำความผิดฐาน “นำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์อันเป็นเท็จ โดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายต่อความมั่นคงของ ประเทศ หรือก่อให้เกิดความตื่นตระหนกแก่ประชาชน,ฉ้อโกงประชาชน”2. หมายจับศาลจังหวัดเชียงใหม่ ที่ 283/2566 ลงวันที่ 7 เมษายน 2566 ซึ่งต้องหาว่ากระทำความผิดฐาน “ร่วมกันในข้อหาฉ้อโกงประชาชน”3. หมายจับศาลอาญาธนบุรีที่ 769/2565 ลงวันที่ 25 กุมภาพันธ์ 2565 ซึ่งต้องหาว่ากระทำความผิดฐาน “ร่วมกันในข้อหาฉ้อโกงโดยแสดงตนเป็นคนอื่น,ร่วมกันในข้อหานำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ปลอม โดยน่าจะเกิดความเสียหายแก่ผู้อื่นหรือประชาชน”4. หมายจับศาลจังหวัดภูเก็ต ที่ 669/2565 ลงวันที่ 14 พฤษภาคม 2565 ซึ่งต้องหาว่ากระทำความผิดฐาน “ร่วมกันในข้อหาฉ้อโกง,ร่วมกันในข้อหานำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ปลอม โดยน่าจะเกิดความเสียหายแก่ผู้อื่นหรือประชาชน”5. หมายจับศาลจังหวัดสุราษฎร์ธานี ที่ 403/2565 ลงวันที่ 15 กันยายน 2565 ซึ่งต้องหาว่ากระทำความผิดฐาน “ผู้สนับสนุนในข้อหากระทำความผิดฐานฟอกเงิน” พฤติการณ์กล่าวคือ แก๊งมิจฉาชีพได้เอาบัญชีของผู้ต้องหาไปหลอกผู้เสียหายเป็นจำนวนมาก ทั้งหลอกให้กู้ยืมออนไลน์แต่ให้ผู้เสียหายค่าธรรมเนียมในการทำสัญญา เมื่อโอนเงินค่าธรรมเนียมเสร็จก็ติดต่อไม่ได้ , หลอกว่ามีพัสดุมีชื่อผู้เสียหายและในพัสดุมียาเสพติดจากนั้นให้ผู้เสียหายโอนเงินบัญชีดังกล่าวไปตรวจสอบ ความเสียหายจำนวนหลายราย บางรายมีหลักหมื่น หลักแสน หลักล้าน แล้วแต่เคส ในชั้นจับกุมผู้ต้องหาให้การรับว่า ได้กระทำความผิดจริงโดย ได้ขายบัญชีธนาคารต่างๆ แต่จำเลขบัญชีไม่ได้ ได้ขายไปให้นางชลดา  (ซึ่งปัจจุบันถูกจับกุมไปแล้ว)ซึ่งเป็นเพื่อนของน้า โดยได้ขายไปในราคา บัญชีละ 1,500 บาท ร่วมเป็นเงิน 4,500 บาท จากนั้นได้ตัวผู้ต้องหานำส่ง พงส.สน.พญาไท เพื่อดำเนินคดีต่อไป พล.ต.ต.ธีรเดช ได้สั่งการให้เจ้าหน้าที่สืบนครบาลสืบสวนติดตามคนร้ายที่สร้างความเดือดร้อนให้กับประชาชนผ่านการหลอกลวงมีหลายรูปแบบ แอบอ้างว่าเป็นเจ้าหน้าที่รัฐ ขอให้ประชาชนอย่าได้หลงเชื่อ เพื่อไม่ให้ตกเป็นเหยื่อผู้เสียหาย และสำหรับผู้ที่ขายบัญชีธนาคารนั้น ตาม พ.ร.ก.มาตรการป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยี…

รวบเสี่ยสายเทามีแอพเช็คข้อมูลส่วนบุคคลPDPAทะเบียนรถให้ลูกค้าดอกเบี้ยมหาโหด รับจำนำเถื่อน  เมื่อวันที่ 23 เม.ย. พล.ต.ท.วรวัฒน์ วัฒน์นครบัญชา ผบช.สอท. ได้สั่งการให้ พล.ต.ต.ภูมิพัฒน์ ภัทรศรีวงษ์ชัย ผบก.สอท.5 พ.ต.อ.ฐาปกรณ์ หนุมาศ ผกก.3 บก.สอท.5 พ.ต.อ.ธีระ เชื้อสุวรรณ ผกก.4 บก.สอท.5  พร้อมเจ้าหน้าที่ตำรวจ กก.3 บก.สอท.5 นำหมายค้นศาลจังหวัดทุ่งสง ที่ 124/2567 ลง 20 เมษายน 2567 ค้นบ้านเลขที่ 88  หมู่ 7 ตำบลควนกรด  อำเภอทุ่งสง  จังหวัดนครศรีธรรมราช จับกุมตัวนายเจริญ หรือเล็ก เหล่าวีระกุล อายุ 37 ปี พร้อมของกลางโทรศัพท์มือถือ 3 เครื่อง ไอแพด 1 เครื่อง โฉนดที่ดิน จำนวนมาก หนังสือรับรองการหาประโยชน์ พร้อมเอกสารสัญญากู้ยืมเงินชื่อ รถจักรยานยนต์ 7 คัน อาวุธปืน ขนาด 9 มม.  1  กระบอกเครื่องกระสุนปืน ขนาด 9 มม. โพยการจดรายการหวยใต้ดิน สมุดจดรายการหวย      พล.ต.ต.ภูมิพัฒน์ เปิดเผยว่า สืบเนื่องจากเจ้าหน้าที่ตำรวจ กก.3 บก.สอท.5 สืบสวนสื่อออนไลน์การกวาดล้างความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเทคโนโลยี หนี้นอกระบบการปล่อยเงินเรียกดอกเบี้ยเกินอัตราที่กฎหมายกำหนด พบกลุ่มผู้กระทำความผิดพบหลักฐานการแชทถึงการส่งข้อมูลส่วนบุคคล ชื่อตัว นามสกุล เลขประจำตัวประชาชน และสำเนารายการจดทะเบียนรถจักรยานยนต์ เป็นข้อมูลเกี่ยวกับบุคคลซึ่งทำให้สามารถระบุตัวบุคคลนั้นได้ไม่ว่าทางตรงหรือทางอ้อม เป็นข้อมูลส่วนบุคคลของผู้อื่นจำนวนหลายราย ซึ่งถือได้ว่าผู้ใช้งานบัญชีเฟซบุ๊กดังกล่าวมีข้อมูลส่วนบุคคล ตาม พ.ร.บ.คุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลได้ข้อมูลบุคคลอื่น แล้วนำไปเปิดเผยแก่ผู้อื่น ด้วยการขายข้อมูลส่วนบุคคลของผู้อื่นให้แก่ผู้ที่สนใจ โดยคิดค่าซื้อขายข้อมูลครั้งละ 500 บาท เป็นการแสวงหาประโยชน์ที่มิควรได้โดยชอบด้วยกฎหมายหรือ อันเป็นการกระทำทุจริตทำให้เกิดความเสียหายต่อสังคม อันเป็นต้นตอแห่งปัญหาและก่อให้เกิดอาชญากรรมในปัจจุบันสืบสวนตรวจสอบจนทราบผู้ใช้งานบัญชี จึงรวบรวมพยานหลักฐานเพื่อเข้าตรวจค้นภายในบ้านพบโทรศัพท์มือถือมีข้อความการสนทนาบนเฟซบุ๊กของนายเจริญ ชื่อบัญชี “Lek Lek” จากหลักฐานที่พบจากการตรวจค้นและตรวจยึด เป็นความผิดตามกฎหมาย     พล.ต.ต.ภูมิพัฒน์ กล่าวอีกว่า ในส่วนที่มีนายเจริญ นำข้อมูลส่วนบุคคลมาจากใคร โดยมี พ.ต.อ.สุรพงศ์ เปล่งขำ ผู้อำนวยการสำนักตรวจสอบและกำกับดูแล  สำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล (สคส),PDPC Eagle Eye และพนักงานเจ้าหน้าที่ตามกฎหมาย PDPA ร่วมตรวจสอบขยายผลเพื่อดำเนินการกับผู้ที่เกี่ยวข้องกับผู้ที่กระทำผิดและแหล่งข้อมูลที่รั่วไหล เพื่อคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลของประชาชน      จากการสอบนายเจริญ ให้การยอมรับว่า ตนเองได้ประกอบธุรกิจให้กู้ยืมเงินกับชาวบ้านในพื้นที่ทั่วไป โดยคิดดอกเบี้ยร้อยละ 8 ต่อสัปดาห์ สำหรับลูกค้าทั่วไป ร้อยละ 7ต่อสัปดาห์ สำหรับลูกค้าที่รู้จักัน ทำมานานกว่า 2 ปีแล้ว      เบื้องต้นเจ้าหน้าที่ตำรวจแจ้งข้อหา ตามพระราชบัญญัติห้ามเรียกดอกเบี้ยเกินอัตรา กําหนดข้อความอันเป็นเท็จในเรื่องจํานวนเงินกู้หรือเรื่องอื่น ไว้ในหลักฐานการกู้ยืม หรือตราสารที่เปลี่ยนมือได้เพื่อปิดบังการเรียกดอกเบี้ยเกินอัตราที่กฎหมายกําหนด ประกอบธุรกิจสินเชื่อส่วนบุคคล โดยไม่ได้รับอนุญาต ประกาศกระทรวงการคลัง เรื่องกิจการที่ต้องขออนุญาต เรื่องสินเชื่อส่วนบุคคลภายใต้การกำกับ ประกอบกิจการโรงรับจำนำ โดยไม่ได้รับอนุญาต  พ.ร.บ.โรงรับจํานํา ล่วงรู้ข้อมูลส่วนบุคคลของผู้อื่นเนื่องจากการปฏิบัติหน้าที่ตามพระราชบัญญัตินี้ ถ้าผู้นั้นนำไปเปิดเผยแก่ผู้อื่น พ.ร.บ.คุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล. จัดให้มีการเล่น (หวยออนไลน์) หรือชักชวนโดยทางตรงหรือทางอ้อมเข้าเล่นหรือเข้าพนันในการเล่นอันขัดต่อบทแห่งพระราชบัญญัตินี้ หรือกฎกระทรวง หรือข้อความในใบอนุญาต ผู้นั้นมีความผิดต่อไปนี้ ถ้าเป็นความผิดในการเล่นตามบัญชี หรือการเล่นตาม เฉพาะสลากกินรวบหรือการเล่นซึ่งมีลักษณะคล้ายกันนี้ ครอบครองซึ่งอาวุธปืนหรือเครื่องกระสุนปืน ของผู้อื่นโดยไม่ได้รับอนุญาตจากนายทะเบียนท้องที่ อาวุธปืน เครื่องกระสุนปืน วัตถุระเบิด ดอกไม้เพลิง และสิ่งเทียมอาวุธปืน ควบคุมตัวพร้อมของกลางนำส่งพนักงานสอบสวน สภ.ทุ่งสง เพื่อดำเนินการตามกฎหมายต่อไป

รวบหนุ่มขนยา ไอซ์ 39 กิโลกรัม ยาเค 26 กิโลกรัม  ร่วมมูลค่ายาเสพติดกว่า 16.9 ล้านบาทเมื่อเวลา15.20น.วันที่22 เมษายน ที่ สน.บางนา พล.ต.ต.วิทวัฒน์ ชินคำ ผบก.น.5 พ.ต.อ.ภพธร จิตต์หมั่น รอง ผบก.น.5 พ.ต.อ.สุรพงษ์ สุขแย้ม ผกก.สน.บางนา พ.ต.ท.เอกภพ ลิขิตธนสมบัติ รอง ผกก.สส.สน.บางนา  พ.ต.ท.นพดล จำปีแขก สว.สส.สน.บางนา พ.ต.ท.ภัตธนสันต์ เก่งเขตรกิจ สว.สส.สน.บางนา พร้อมเจ้าหน้าที่ฝ่ายสืบสวนสน.บางนา ร่วมกันแถลงผลการจับกุมตัวนายวิทิตพงษ์ สว่างอารมณ์ อายุ 24 ปี บ้านเลขที่ 5/7 ม.15 ต.บางแก้ว อ.บางพลี จ.สมุทรปราการ ผู้ต้องหาคดี มีไว้ครอบครองซึ่งยาเสพติดให้โทษประเภท 1 (ยาไอซ์) โดยไม่ได้รับอนุญาต และมีวัตถุออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาทประเภท 2 (คีตามีน) ไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาต ”พร้อมของกลางยาไอซ์ 39 กิโลกรัม มูลค่าประมาณ 7.8 ล้านบาท  ยาเค 26 กิโลกรัม มูลค่าประมาณ 9.1 ล้านบาท พร้อมรถยนต์ ยี่ห้อฮอนด้า รุ่น แจ๊ส ทะเบียน 1 ขย 5270 กรุงเทพมหานคร โทรศัพท์มือถือ ยี่ห้อ Vivo รุ่นy17s อีก1เครื่อง โดยจับกุมตัวผู้ต้องหาได้ที่บริเวณปลายซอยบางนา-ตราด 37 ( ซอยเปรมฤทัย ล็อค 10/8 ต.บางแก้ว อ.บางพลี จ.สมุทรปราการ ) ช่วงเวลาประมาณ 00.20 น. ของวันที่ 22 เม.ย. ที่ผ่านมา   สืบเนื่องจากเมื่อวันที่5 เม.ย.ที่ผ่านมา พ.ต.ท.เอกภพ ลิขิตธนสมบัติ รอง ผกก.สส.สน.บางนา ได้รับแจ้งจากสายลับว่ามีรถยนต์ต้องสงสัยนำมาจอดทิ้งไว้ บริเวณปลายซอยบางนา-ตราด 37 ( ซอยเปรมฤทัย ล็อค 10/8 ต.บางแก้ว อ.บางพลี จ.สมุทรปราการ) คาดว่าจะใช้เป็นที่เก็บยาเสพติดเพื่อรอส่งให้ลูกค้า จึงได้สั่งการให้พ.ต.ท.นพดล จำปีแขก สว.สส.สน.บางนา พ.ต.ท.ภัตธนสันต์ เก่งเขตรกิจ สว.สส.สน.บางนา พร้อมฝ่ายสืบสวนสน.บางนา เฝ้าสังเกตุการณ์รถคันดังกล่าว เมื่อไปถึงพบรถเก๋ง ฮอนด้า แจ๊ส สีขาว ทะเบียน 1 ขย 5270 กรุงเทพมหานคร ติดฟิล์มทึบ จอดซุ่มอยู่ในซอยดังกล่าว ซึ่งเป็นซอยเปลี่ยว ไม่มีกล้องวงจรปิด จากการเฝ้าสังเกตุการณ์อยู่หลายวันก็ไม่พบความเคลื่อนไหว คาดว่าคนร้ายคงไหวตัวทัน จนกระทั่งเวลา00.20น.ฝ่ายสืบสวนได้เข้าจุดเพื่อตรวจสอบรถคันดังกล่าวอีกครั้ง จนกระทั่งพบนายวิทิตพงษ์ ขี่รถจักรยานมาจอดไว้ข้างรถคันดังกล่าว แล้วกดรีโมดเพื่อเปิดประตูรถ และหยิบสิ่งของบางอย่าง เจ้าหน้าที่จึงแสดงตัวเข้าจับกุม เมื่อนายวิทิตพงษ์เห็นเจ้าหน้าที่ตำรวจ พยายามวิ่งหนี แต่ก็ถูกจับกุมตัวไว้ได้และจากการตรวจสอบหลังรถ พบยาเสพติดจำนวนมากดังกล่าวถูกบรรจุอยู่ในห่อชาเขียว ซึ่งเหมือนกับหลายๆครั้งที่มีการจับยาล๊อตใหญ่ก่อนหน้านี้ ที่คาดว่ามาจากแหล่งเดียวกัน จึงนำตัวพร้อมของกลางไปสอบสวนที่สน.บางนา   จากการสอบสวนนายวิทิตพงษ์ ให้การอ้างว่า ช่วงต้นเดือนเม.ย. ตนได้รับการว่าจ้างจากคนใช้ชื่อใน ผ่านทางแอพพลิเคชั่น LINE ว่า ‘ร่ำรวย’ ให้ไปรับยาไอซ์และยาเคอย่างละ50กิโลกรัม ที่หลังห้างเซ็นทรัล อยุธยา  แล้วเอามาจอดไว้ในซอยดังกล่าว ซึ่งเป็นซอยเปลี่ยว หากใครเข้าออกจะสังเกตุได้ง่าย ถ้ามีการสั่งของ จะสั่งผ่านไลน์บอกให้เอาไปส่งตามที่นัดหมาย แล้วก็จะลบไลน์ทิ้ง จากนั้นก็จะจ่ายเงินผ่านบัญชีธนาคาร    เจ้าหน้าที่จะได้ทำการขยายผลไปให้ถึงแหล่งเก็บยาเสพติดแหล่งใหญ่ ซึ่งคาดว่าอยู่รอยต่อจังหวัดอยุธยากับจังหวัดปทุมธานี และนำตัวผู้ต้องหาส่งกองบัญชาการตำรวจปราบปรามยาเสพติด เพื่อดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป พล.ต.ต.วิทวัฒน์  กล่าวว่า  จากการตรวจสอบประวัติของ นายวิทิตพงษ์ ผู้ต้องหา พบว่าเคยถูกจับกุมในพื้นที่สภ. บางแก้ว 2 ครั้ง คดีเกี่ยวกับเกี่ยวข้องยาเสพติดและ พ้นโทษออกมาเมื่อวันที่ 17 ก.ย.65 ที่ผ่านมา  และถูกจับกุมได้เมื่อเวลา 02.00 น. วันที่22 เม.ย.  โดยผู้ต้องหารับสรภาพว่าได้รับค่าจ้างในการขนครั้งละ 15,000 บาท

เศรษฐา เมิน บิ๊กโจ๊ก ร้องผิดม.157 ข้องใจทำไมเพิ่งร้อง มั่นใจ ตั้ง บิ๊กต่อ นั่งผบ.ตร.ยึดตามกมเมื่อเวลา 14.45 น.วันที่ 22 เม.ย.ที่ทำเนียบรัฐบาล นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีและรมว.คลัง ให้สัมภาษษณ์ถึงกรณีพล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล รอง ผบ.ตร. ยื่นคำร้องต่อคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ(ป.ป.ช.) เอาผิดนายกฯกรณีละเว้นปฎิบัติหรือละเว้นปฎิบัติหน้าที่โดยมิชอบ ตามมาตรา 157 โดยย้อนไปตั้งแต่การตั้งพล.ต.อ.ต่อศักดิ์ สุวิมล เป็นผบ.ตร.ว่า ไม่ใช่เรื่องใหม่ เพราะเคยมีคนร้องไปแล้ว และครั้งนี้มาร้องซ้ำอีก แต่ตนมั่นใจว่าชี้แจงได้ และมีคำสั่งแต่งตั้งด้วยความเป็นธรรมซึ่ง กระบวนการแต่งตั้งมีกรรมวิธีการรับฟังความคิดเห็นทุกคนอย่างเป็นธรรม มีการพูดคุยกันในวงกว้าง ถึงจะมีการสรุป ผู้สื่อถามว่า พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ ร้องครั้งนี้เพราะเป็นผู้มีส่วนได้ส่วนเสียและไม่ได้เป็นผบ. ตร เพราะนายกฯแต่งตั้งพล.ต.อ. ต่อศักดิ์ นายกฯ กล่าวว่า คะแนนในการโหวตในวันประชุมคณะกรรมการข้าราชการตำรวจ(ก.ตร.) ก็ชัดเจนแล้ว มีมติ 9 ต่อ 1 เป็นอะไรที่บ่งบอกชัดเจนว่า มีคนไม่ออกเสียง 1 คะแนน แต่นอกนั้นเป็นคนที่เลือกพล.ต.อ.ต่อศักดิ์เป็นผบ.ตร ดังนั้นคนที่ไม่เห็นด้วย 1 เสียงก็เป็นเอกฉันท์  เมื่อถามว่า มีการร้องไปจนถึงการมีคำสั่งให้ไปช่วยราชการสำนักนายกรัฐมนตรี และการให้ออกจากราชการไว้ก่อน นายเศรษฐา กล่าวว่า เป็นเรื่องที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ(ตร.) เสนอมา และตนก็รับทราบเฉยๆ และที่จริงหากตนไม่ปฏิบัติตามก็จะถูกมาตรา 157 มากกว่า ขอย้ำว่ามั่นใจ เพราะทำตามกฏหมายทุกอย่าง และไม่ได้เข้าข้างใคร ไม่ได้เอื้อประโยชน์ให้ใครคนใดคนหนึ่ง  เมื่อถามว่า ได้ตั้งข้อสังเกตหรือไม่ว่าการแต่งตั้งโยกย้ายผ่านมาตั้งนานแล้ว ทำไมถึงเพิ่งมีการร้อง นายเศรษฐา กล่าวว่าสงสัยอยู่เหมือนกัน แต่ไม่เป็นไร เพราะเชื่อว่าทำถูกต้องตามกฎหมายทุกอย่าง ไม่ได้กลั่นแกล้งใคร ไม่ได้ลำเอียงให้คนใดคนหนึ่ง ยึดเอาผลประโยชน์พี่น้องประชาชนเป็นที่ตั้ง ผู้สื่อข่าวถามว่า ความคืบหน้าผลสอบของตั้งคณะกรรมการตรวจสอบคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงและข้อกฎหมายกรณีปรากฏเป็นข่าวต่อสาธารณะเกี่ยวกับความขัดแย้งในเรื่องคดีของบุคลากรภายในสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ที่มีนายฉัตรชัย พรหมเลิศ อดีตปลัดกระทรวงมหาดไทย ประธานกรรมการ ได้รายงานมาหรือยัง นายเศรษฐา กล่าวว่า ยัง ช่วงวันหยุดก็คุยกันอยู่ แต่เรื่องที่พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ ถูกกล่าวหาเป็นคนละเรื่องกัน และเรื่องนี้ยังดำเนินการต่อไปเพื่อให้เกิดความเป็นธรรมทั้งพล.ต.อ.สุรเชษฐ และพล.ต.อ.ต่อศักดิ์ ไม่ได้เร่งของคนใดคนหนึ่งและไม่ได้มีธงว่าใครต้องผิดทุกอย่างเป็นไปตามกระบวนการยุติธรรม

สารวัตรแจ๊ะโร่แจ้งเอาผิดทนายดังความหมิ่นประมาทวันนี้(22 เม.ย. 67) พ.ต.ต.ธัญพีรสิษฐ์ จุลพิภพ สว.สส.3 บก.สส.บช.น. หรือ “สารวัตรแจ๊ะ” พร้อมด้วย น.ส.อาชิรญาณ์ ธนาพีระพงศ์ ทนายความ เดินทางมายังศาลอาญา ถ.รัชดาภิเษก เพื่อยื่นฟ้อง ทนายรัชพล ศิริสาคร ในข้อหา “หมิ่นประมาทโดยการโฆษณาฃ” กรณีโพสข้อความผ่านเพจเฟซบุ๊กส่วนตัว ใส่ร้าย “สารวัตรแจ๊ะ” จับแพะติดคุกฟรีนานกว่า 1 ปี  สารวัตรแจ๊ะ กล่าวว่า คดีที่ทนายรัชพล โพสต์ข้อความใส่ร้ายตนเองนั้น การจับกุมจำเลยในคดีดังกล่าวตนได้ทำไปตามหลักของการสืบสวน ไม่ได้มีการใส่ร้ายหรือกลั่นแกล้ง ซึ่งตนมีหน้าที่จับกุมผู้กระทำความผิดเข้าสู่ขบวนการยุติธรรมให้ศาลพิจารณา แม้คดีดังกล่าวศาลชั้นต้นจะยกฟ้อง ก็ยกฟ้องด้วยเหตุสงสัย ต่อมาศาลอุธรณ์วินิจฉัยว่า พยานหลักฐานของจำเลยไม่อาจหักล้างหลักฐานของโจทก์ได้ จึงพิพากษาว่าจำเลยมีความผิดตามประมวลกฏหมายอาญามาตรา 279 วรรคสอง จำคุก 2 ปี และเนื่องจากจำเลยมีประวัติความผิดเกี่ยวกับคดีอาญา เป็นเหตุให้เพิ่มโทษหนึ่งในสามตามประมวลกฏหมายอาญา มาตรา 92 เป็นจำคุก 2 ปี 8 เดือน แม้ต่อมาศาลฎีกาพิพากษายกฟ้อง ก็ยังยกฟ้องด้วยเหตุสงสัย ไม่ได้ยกฟ้องเพราะเห็นว่ามิได้กระทำความผิดโดยศาลวินิจฉัยพยานหลักฐานโจทก์ที่นำสืบมายังมีความสงสัยตามสมควรว่าจำเลยได้กระทำความผิดหรือไม่ ให้ยกประโยชน์แห่งความสงสัยนั้นให้จำเลย โดยสารวัตรแจ๊ะ ระบุว่า การมาฟ้องในวันนี้ถือเป็นการปกป้องชื่อเสียงของตัวเอง เพราะทุกวันนี้ผมทำงานมีหน้าที่ปกป้องประชาชน ถ้าวันนี้ผมปกป้องตัวเองไม่ได้ ผมจะไปปกป้องคนอื่นได้ยังไง ส่วนกรณีที่ทนายรัชพล กล่าวหาว่าตนเองนําผู้ต้องหาไปเซฟเฮ้าส์นั้น ยืนยันไม่เป็นความจริงเนื่องจากชุดจับกุมดําเนินการตามขั้นตอนและปฏิบัติตามหมายจับของศาลจังหวัดมุกดาหาร ซึ่งหลังจับผู้ต้องหาได้คุมตัวส่งพนักงานสอบสวน สภ.กกตูม ทันที โดยไม่มีการพาตัวไปเซฟเฮ้าส์หรือเรียกมาสอบปากคําตามคํากล่าวอ้างแต่อย่างใด หากเป็นเช่นนั้นจริงเหตุใดทนายคู่กรณีจึงไม่แนะนำให้ลูกความดำเนินคดีกับตนฐานกักขังหน่วงเหนี่ยว จึงไม่ทราบว่าการออกมาโพสต์ต้องการอะไรกันแน่ เมื่อผู้สื่อข่าวถามว่าหากคู่กรณีขอไกล่เกลี่ยจะยอมความหรือไม่ สารวัตรแจ๊ะ กล่าวว่า ยังไม่ขอตอบแต่หากชนะคดี จะนํามาใช้ในการสืบสวนสอบสวนเพื่อเป็นประโยชน์ต่อพี่น้องประชาชน ด้าน ทนายอาชิรญาณ์ กล่าวว่า วันนี้ฟ้องคดีอาญา ข้อหาหมิ่นประมาณโดยการโฆษณาและฟ้องคดีเพ่งเรียกค่าเสียหายจํานวน 5 ล้านบาท ส่วนตัวมั่นใจในพยานหลักฐาน นอกจากนี้ยังทราบอีกว่าทนายคู่กรณีมีการเกลี่ยกล่อมให้แม่เด็ก 5 ขวบ ขณะนั้น กลับคําให้การเพื่อปรักปรําเจ้าหน้าที่ตํารวจหวังนําเงินชนะคดี 5 ล้านบาท แบ่งคนละครึ่ง ทั้งนี้ศาลอาญานัดไต่สวนมูลฟ้องคดีที่สารวัตรแจ๊ะยื่นฟ้องในวันนี้ วันที่ 2 กันยายน 2567

ตำรวจเร่งไล่กล้องวงจรปิดหารถต้องสงสัย ขณะชาวบ้านเชื่อฆ่าจากที่อื่นนำมาทิ้ง จากกรณีเมื่อ เวลา 18.30 น.วันที่ 19 เม.ย.67 พ.ต.อ.พฤฒ จำรูญศาสน์ ผกก.สภ.บางบัวทอง จ.นนทบุรี ได้รับแจ้งพบชิ้นส่วนมือของมนุษย์​ ถูกทิ้งอยู่บคนลานดิน ภายในซอยจัดสรรที่ดิน 2 ถนนบ้านกล้วย-ไทรน้อย หมู่ 4 ต.พิมลราช อ.บางบัวทอง จ.นนทบุรี ทางแพทย์จากสถาบันนิติวิทยาศาสตร์และเจ้าหน้าที่เจ้าหน้าที่มูลนิธิป่อเต็กตึ๊งรุดตรวจสอบ พร้อมเก็บชิ้นส่วนข้อมือดังกล่าว เพื่อสืบสวนและติดตามว่าผู้เสียชีวิตรายนี้เป็นใครตามที่มีการเสนอข่าวไปอย่างต่อเนื่องแล้วนั้น   ล่าสุดเมื่อเวลา 11.30 น. ผู้สื่อข่าวลงพื้นที่ตรวจสอบจุดเกิดเหตุอีกครั้งและได้รับการเปิดเผยจากนายวัน (ขอสงวนชื่อนามสกุล) ชาวบ้านที่อยู่ในซอยจุดที่เกิดเหตุ โดยกล่าวว่า คนทำคงโกรธมากๆ เพราะวางแผนมาเป็นอย่างดี ดูจากการตัดนิ้วตัดมือ ตนอยากให้เจ้าหน้าที่ตำรวจจับคนร้ายได้โดยเร็ว ซึ่งในซอยนี้มีแค่ 2-3 โรงงาน เพราะซอยมันเปลี่ยว กลางคืนก็มืดไม่มีไฟและยังเงียบด้วย ถ้ามีคนหายโรงงานจะไม่มีแจ้ง ตนคาดว่าหน้าจะเป็นทำจากที่อื่นแล้วมาทิ้งที่ตรงนี้ แยกชิ้นส่วนทิ้งคนร้ายโหดและใจเย็นมาก ตนคิดว่าคงไม่เกินความสามารถของเจ้าหน้าที่ตำรวจเพราะหลักฐานเริ่มเจอเรื่อยๆแล้วทั้งชิ้นส่วนอุปกรณ์ที่คาดว่าใช้ในการฆ่าหั่นศพในครั้งนี้  ขณะที่ พ.ต.อ.สมพล วงศ์ศรีสุนทร รอง ผบก.ภ.จว.นนทบุรี ซึ่งรับผิดชอบงานด้านสืบสวน เปิดเผยกับผู้สื่อข่าวทางโทรศัพท์ว่า คดีนี้เจ้าหน้าที่ไม่ได้นิ่งนอนใจเนื่องจากเป็นคดีอุกฉกรรจ์ตำรวจเร่งทำงานหามรุ่งหามค่ำ เพื่อที่จะสืบเสาะหาให้ได้ก่อนว่าผู้ตายเป็นใครเป็นหญิงหรือชายถูกฆ่ามาจากที่ไหน โดยทางชุดสืบสวนลงพื้นที่ไล่กล้องวงจรปิดจากจุดเกิดเหตุไปตามเส้นทางที่คาดว่าคนร้ายขับรถหลบหนีออกจากซอยไปตรงไหน และมีรถอะไรวิ่งเข้ามาในซอยบ้างรถที่ไม่เกี่ยวข้องไม่อยู่ในข่ายต้องสงสัยเราก็จะตัดออกไป ตอนนี้ก็ยังไม่มีผู้ใดมาพบเจ้าหน้าที่ตำรวจหรือให้เบาะแสว่าเป็นญาติที่หายไป ตนอยากฝากประชาสัมพันธ์แจ้งไปด้วยว่าถ้าหากใครพบว่าญาติในครอบครัวที่มีรอยสักที่ข้อมือเหมือนที่เราพบชิ้นส่วนขอให้ติดต่อเจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.บางบัวทอง เพื่อเป็นแนวทางในการสืบสวนหาเบาะแส คนร้ายที่ลงมือฆ่าหั่นชิ้นส่วนศพในครั้งนี้ ด้วย

‘บิ๊กโจ๊ก’บุกป.ป.ช.ขอความเป็นธรรม แจ้งข้อกล่าวหา ‘นายกฯ’ ใช้อำนาจมิชอบ     เมื่อเวลา 10:45 น. ที่ผ่านมา พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ได้เดินทางยัง คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) เพื่อยื่นหนังสือถึง นายนิวัติไชย เกษมมงคล เลขาธิการคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) เพื่อร้องขอความเป็นธรรม หลังจากที่ตนเองถูกดำเนินคดีและเข้าสู่ขบวนการสอบสวนอย่างไม่เป็นธรรม นาน 6 เดือน จนถึงขั้นให้ออกจากราชการไว้ก่อน       วันนี้ตนจึงต้องออกมาต่อสู้เพื่อตัวเอง จะเน้นในเรื่องของคดีอาญาที่มีการดำเนินการโดยมิชอบ จะไม่พูดถึงสำนวนคดีว่าใครผิด ใครถูก พร้อมกางหลักฐานขบสนการสอบสวน โดยระบุว่า ในคดีนี้เริ่มจากการดำเนินคดีกับลูกน้องตนทั้ง 8 และมีการขยายผลมายัง ตน,ละลูกน้อง รวม 5 คน ท้ายที่สุดทาง ป.ป.ช. มีมติเรียกกลับสำนวน เพราะเป็นคกีที่มีเจ้าหน้าที่รัฐเข้ามาเกี่ยวข้อง       ซึ่งตามกระบวนการ ตำรวจมีหน้าที่ราบรวมพยานหลักฐานเบื้องต้นและส่งให้ ป.ป.ช. ภายใน 30 วัน โดยไม่ได้มีหน้าที่ในการสอบสวน หรือออกหมายเรียก หรือขอศาลออกหมายจับ  ปรากฎว่าหลังจากนั้นพนักงานสอบสวนกลับมีการทยอยแบ่งสำนวนกันทำ ทั้งที่เป็นเส้นเงินเดียวกัน ผู้ต้องหากลุ่มเดียวกัน และเกี่ยวข้องกับเจ้าหน้าที่รัฐ ซึ่งต้องส่ง ป.ป.ช. ในคราวเดียวกัน และเป็นอำนาจของ ป.ป.ช. ตนมองว่าการสอบสวนของตำรวจ สน.เตาปูน ไม่เป็นธรรม      ในความผิดฐานฟอกเงินถ้าเป็นเจ้าหน้าที่รัฐ ป.ป.ช. สอบสวน ถ้าหากความเสียหายมูลค่าเกินกว่า 300 ล้านบาท ต้องเป็นอำนาจของ DSI โดยพนักงานสอบสวนจะต้องส่งสำนวนคดีพิเศษให้ DSI ภายใน 15 วัน แต่ทางพนักงานสอบสวน สน.เตาปูน อ้างว่า ความเสียหายไม่ถึง 300 ล้าน แต่ภายหลังพบว่าสำนวนที่ส่งให้ ป.ป.ช. มีความเสียหายอยู่ที่ 490 ล้านบาท ซึ่งตนมองว่าการที่พนักงานสอบสวน สอบสวนแทน ป.ป.ช. ไม่ได้หวังผลในเรื่องคดี แต่หวังผลไม่ให้ตนขึ้นตำแหน่ง ผบ.ตร. ซึ่งตนเป็นแคนดิเดต ผบ.ตร. อันดับที่ 1 แต่ถ้าหากตนเป็นอันดับที่ 6 คงไม่ถูกกระทำแบบนี้      ทั้งนี้ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ มองว่า มีการกลั่นแกล้ง และมีขบวนการแบ่งงานกันทำ และตั้งข้อสังเกตว่า ที่ผ่านมาตนได้ทำหนังสือขอความเป็นธรรมมาโดยตลอด แต่ภายหลังจากที่มีคำสัางให้ตนออกจากราชการไว้ก่อน(18 เม.ย.) 1 วันหลังจากนั้น คณะพนักงานสอบสวนส่งสำนวนให้กับ ป.ป.ช. (19 เม.ย.) ซึ่งมองว่า ถ้ามีการส่งสำนวนให้ ป.ป.ช. ตั้งแต่แรก ตนจะอยู่ในฐานะผู้บริสุทธิ์ จนกว่าคณะกรรมการจะชี้มูล และคดีจะเป็นที่สิ้นสุด ซึ่งตามกฎหมายจถไม่สามารถแต่งตั้งหรือโยก ย้ายตนได้ พร้อมย้ำว่า "ถ้าสอบสวนอย่างเป็นธรรม แล้วผมผิดจริงผมออกเลย เพราะถ้าเป็นคนอื่นคงหมอบไปแล้ว "       ส่วนเรื่องวินัยตนได้เตรียมต่อสู้โดยการร่างหนังสือถึงคณะกรรมการพิทักษ์ระบบคุณธรรม และจะมีการแถลงข่าวในอีก 1-2 วันนี้ เพื่ออธิบายรายละเอียดเกี่ยวกับการดำเนินการทางวินัยโดยมิชอบ และเชื่อว่าสื่อจะต้องตกใจอย่างแน่นอน       โดยในวันนี้ตนได้ยื่นเรื่องร้องเรียน นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี ปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ ที่มีคำสั่งให้ตนกลับไปที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติแล้วให้ออกจากราชการ ทั้งที่ก่อนหน้ามีคำสั่งให้มาช่วยราชการที่สำนักนายก และอยู่ในขบวนการสอบสวน 60 วัน / และกล่าหาหัวหน้าพนักงานสอบสวน และคณะพนักงานสอบสวนทั้งหมด ที่ปฏิบัติหน้าที่โดยไม่มีอำนาจ  "ตนออกจากราชการแล้ว ตนมีเวลาในการเตรียมตัวสู้คดีเยอะ หลังจากนี้เตรียมตั้งรับให้ทันแล้วกัน"       ส่วนเรื่องเอกสารที่ปรากฎสู่สาธารณะ ที่ได้มีการทำหนังสือคัดค้านการปฏิบัติหน้าที่ของหนึ่งใน กรรมการ ป.ป.ช. และขอให้ตรวจสอบพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสม พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ บอกว่า สื่อคงเห็นรายละเอียดอยู่แล้ว จะไม่พูดถึง เรื่องเอกสารที่ปรากฏ เอกสารนี้ไม่พูดละกัน แต่ทาง ป.ป.ช. จะเอาไปประชุมพิจารณา เชื่อว่าใครทำอะไรก็ได้อย่างนั้น วันนี้ตนมาหาความยุติธรรมนอกองค์กร เพราะองค์กรของตนให้ความยุติธรรมไม่ได้ / วันนี้ใครเกี่ยวข้องตนจะดำเนินคดีทั้งหมด  และในท่อนท้ายของเอกสารมีการลงชื่อพยาน กล่าวอ้างถึง พลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ อดีตรองนายกรัฐมนตรี ได้มีการหารือก่อนลงชื่อหรือไม่ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ บอกว่า ขอไม่ตอบในส่วนนี้  พร้อมยืนยันว่าตนไม่ใช่คนปล่อยเอกสารฉบับนี้ออกมาแน่นอน       เมื่อผู้สื่อข่าวถามว่า หากไม่ได้กลับไปเป็นข้าราขการตำรวจ จะหันไปเล่นการเมืองหรือไม่ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ ระบุว่า ตอนนี้ยังไม่ได้คิด เอาเรื่องสู้คดีก่อน เพื่อให้เป็นตัวอย่างแก่ลูกหลาน ว่าการกระทำโดยมิชอบจะมีผลอย่างไร

ป.ป.ส. เตรียมเผาทําลายของกลางยาเสพติดกว่า 22 ตันวันนี้(22 เม.ย. 67) นายอุดมชัย โลหณุต ผู้อํานวยการสำนักงานป้องกันและปราบปรามยาเสพติดหานคร (ผอ.ปปส.กทม.) ในฐานะประธานคณะกรรมการตรวจรับยาเสพติดฯ พรัอมด้วย น.ส.กัญญนันทน์ คงภัสนิธิโรจน์ ผอ.สถาบันวิชาการและตรวจพิสูจน์ยาเสพติด (ผอ.สวพ.) และเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง ร่วมกันเปิดห้องมั่นคงที่ใช้ในการเก็บรักษายาเสพติดของกลาง น้ำหนักกว่า 22 ตัน จากคดียาเสพติด 68 คดี ตั้งแต่เดือนพฤศจิกายน 2566 - กุมภาพันธ์ 2567 ณ สถาบันวิชาการและตรวจพิสูจน์ยาเสพติด (สวพ.) สำนักงาน ป.ป.ส. (ทุ่งสองห้อง) เพื่อเตรียมดำเนินการตรวจรับและส่งมอบยาเสพติดของกลางที่ผ่านการตรวจพิสูจน์แล้ว นำส่งเผาทำลายยาเสพติดของกลาง ในวันที่ 24 เมษายน 2567 ณ บริษัท อัคคีปราการ จำกัด (มหาชน) นิคมอุตสาหกรรมบางปู จ.สมุทรปราการ  โดย นายอุดมชัย ผอ.ปปส.กทม. กล่าวว่า ยาเสพติดกว่า 22 ตันที่เตรียมนําไปเผาทําลายในครั้งนี้ ประกอบด้วยยาเสพติดหลายชนิด ส่วนใหญ่จะเป็นยาบ้าประมาณ 200 ล้านเม็ด และ ไอซ์ 3 ตัน ซึ่งของกลางต่างๆที่ได้ทําการ Set Zero ไปแล้วนั้น ทางสํานักงาน ป.ป.ส. ได้มาจากชุดจับกุมที่ส่งมาให้สถาบันตรวจพิสูจน์ จากนั้นนําของกลางดังกล่าวมาเก็บรักษาไว้ที่ห้องมั่นคงของสถาบันวิชาการและตรวจพิสูจน์ยาเสพติด สำนักงาน ป.ป.ส. (ทุ่งสองห้อง) ซึ่งได้รับการอนุญาตอย่างถูกต้อง ด้าน น.ส.กัญญนันทน์ ผอ.สถาบันวิชาการและตรวจพิสูจน์ยาเสพติด กล่าวว่า ขั้นตอนการดําเนินการยาเสพติดของกลางที่ผ่านการพิสูจน์แล้ว เพื่อนําไปเผาทําลาย เริ่มตั้งแต่การเปิดห้องมั่นคงหรือคลังยาเสพติดของกลาง จากนั้นส่งมอบให้กับคณะทำงานทำลายยาเสพติดของกลางด้านตรวจรับ โดยมีผู้แทนจากสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา เป็นประธาน หลังจากนั้นส่งต่อให้คณะทำงานทำลายยาสพติดของกลางด้านขนย้ายรักษาความปลอดภัยและทำลาย โดยมีผู้แทนจาก บช.ปส. เป็นประธาน  สําหรับการเผาทําลายของกลางยาเสพติดครั้งนี้ถือเป็นครั้งที่ 4  หลังจากเริ่มดําเนินการครั้งแรกเมื่อวันที่ 17 กันยายน 2566  โดยสถิติการเผาทำลายยาเสพติดของกลางรวมทั้งสิ้น 4 ครั้ง จำนวน 225 คดี น้ำหนัก 65.64 ตัน ทั้งนี้ น.ส.กัญญนันทน์ ผอ.สถาบันวิชาการและตรวจพิสูจน์ยาเสพติด ระบุว่าขอให้ประชาชนเชื่อมั่นว่าจะไม่มียาเสพติดตกหล่นอย่างแน่นอน เพราะคณะทํางานจากทุกหน่วยที่เกี่ยวข้องช่วยกันตรวจสอบชนิดและปริมาณหรือนํ้าหนักของยาเสพติดให้ตรงตามที่ได้รับอนุมัติจากกระทรวงสาธารณสุขให้ทำลาย และมีการรักษาความปลอดภัยอย่างเข้มงวดตลอด  24 ชั่วโมงตั้งแต่ขั้นตอนการเก็บรักษา ตรวจรับ ขนส่ง จนทําลาย ซึ่งจะมีการเผยแพร่ให้ประชาชนเห็นทุกขั้นตอนเพื่อความโปร่งใส รวมถึงมีกระบวนการตรวจสอบหลังเผาทำลายเพื่อให้มั่นใจว่าไม่มียาเสพติดหลงเหลืออยู่อีก

รวบท้าวแชร์หัวนักธุรกิจ ให้ลูกแชร์กู้ต่อ เงินหมุนเวียนทั้งปีกว่า 24 ล้านตามนโยบาย พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ รอง ผบ.ตร.รรท.ผบ.ตร.ที่ให้ความสำคัญกับการปราบปรามหนี้นอกระบบ กองบัญชาการตำรวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี โดย พล.ต.ท.วรวัฒน์ วัฒน์นครบัญชา ผบช.สอท. ได้สั่งการให้ พล.ต.ต.ภูมิพัฒน์ ภัทรศรีวงษ์ชัย ผบก.สอท.5 เร่งระดมกวาดล้างจับกุมผู้กระทำความผิดเกี่ยวกับหนี้นอกระบบในพื้นที่ภาคใต้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งกลุ่มเจ้าหนี้ที่มีพฤติการณ์ใช้ความรุนแรงในการทวงหนี้ หรือเป็นการเอารัดเอาเปรียบประชาชนเมื่อวันที่ 19 เม.ย.2567 พ.ต.อ.กฤษดา มานะวงศ์สกุล ผกก.กก.1 บก.สอท.5 ได้สั่งการให้ พ.ต.ท.อุดม อิสโร และ พ.ต.ท.อสวรรธน์ ศิระเวรินทร์ สว.กก.1 บก.สอท.5 พร้อมชุดสืบสวน ได้สืบสวนจนทราบว่า นางสาวจอย (นามสมมติ) อายุ 43 ปี มีพฤติการณ์ใช้สื่อสังคมออนไลน์ Facebook โพสต์ชักชวนประชาชนทั่วไปเข้าร่วมในการเล่นแชร์ และให้ประชาชนกู้ยืมเงินโดยคิดดอกเบี้ยเกินกว่าอัตราที่กฎหมายกำหนด เป็นการขูดรีดและเอารัดเอาเปรียบประชาชนในพื้นที่ อ.ปลายพระยา จ.กระบี่ จึงได้รวบรวมพยานหลักฐานขอหมายค้นต่อศาลแขวงกระบี่ เข้าทำการตรวจค้นบ้านของนางสาวจอย ผลการตรวจค้นพบสมุดบัญชีธนาคารต่างๆ จำนวนมาก และยังพบหลักฐานการโพสต์ชักชวนและการปล่อยเงินกู้นอกระบบ สอบถามนางสาวจอย ให้การรับสารภาพว่า ตนเป็นท้าวแชร์ให้กับลูกแชร์ในพื้นที่มานานกว่า 5 ปี โดยมีทั้งวงแชร์เงิน และวงแชร์ทอง จากนั้นเมื่อเริ่มมีเงินเก็บจากการเป็นนายวงแชร์เพิ่มมากขึ้นก็จะปล่อยเงินให้กับลูกแชร์กู้ยืม โดยคิดดอกเบี้ยร้อยละ 20 ต่อเดือน หรือร้อยละ 240 ต่อปี ซึ่งตนจะเรียกเก็บดอกเบี้ยเป็นงวด ซึ่งภายใน 1 เดือน จะเรียกเก็บดอกเบี้ย 3 งวด  ทั้งนี้ก็จะมีส่วนที่ลูกแชร์ซึ่งกู้ยืมเงินจะต้องจ่ายดอกเบี้ย ก็จะทำการหักยอดเงินจากค่าแชร์ ทำให้ได้เงินไม่เต็มจำนวน เจ้าหน้าที่ตำรวจพบว่าเป็นท้าวแชร์รายใหญ่ในพื้นที่กระบี่ จำนวนกว่า 12 วง มีลูกแชร์รวม 244 คน พบยอดเงินหมุนเวียนต่อปีรวมกว่า 24 ล้านบาทเจ้าหน้าที่ตำรวจจึงแจ้งข้อกล่าวหาในความผิดฐาน1.ให้บุคคลอื่นกู้ยืมเงินหรือกระทำการใดๆ อันมีลักษณะเป็นการอำพรางการให้กู้ยืมเงินโดยมีลักษณะ (1) เรียกดอกเบี้ยเกินอัตราที่กฎหมายกำหนดไว้2.ประกอบธุรกิจให้กู้ยืมเงินโดยไม่ได้รับอนุญาต3.เป็นนายวงแชร์จัดให้มีการเล่นแชร์มีจำนวนวงแชร์รวมกันมากกว่าสามวงและมีจำนวนสมาชิกวงแชร์รวมกันทุกวงมากกว่าสามสิบคน 4.โฆษณาชี้ชวนให้ประชาชนทั่วไปเข้าร่วมในการเล่นแชร์ นำตัวส่งพนักงานสอบสวน เพื่อดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไปพล.ต.ต.ภูมิพัฒน์ฯ ผบก.สอท.5 ได้ประชาสัมพันธ์มายังพี่น้องประชาชนที่ได้รับความเดือดร้อน สามารถลงทะเบียนขอความช่วยเหลือหนี้นอกระบบ ได้ทางเว็บไซต์ https://debt.dopa.go.th/  หรือที่ว่าการอำเภอและสถานีตำรวจทุกแห่งทั่วประเทศ

“หนุ่มไรเดอร์” ชะล่าใจ มีหมายจับ ! ติดตัว สุดท้ายไม่รอด ตรวจพบประวัติเพียบ      หนุ่มไรเดอร์ส่งอาหาร มีหมายจับติดตัวอยู่แล้ว แต่ไม่คิดว่าตำรวจจะรู้ ว่าตัวเองนั้นมีหมายจับเพียบ เดินเข้าโรงพักเพื่อขอดูกล้องวงจรปิด เพื่อเป็นหลักฐานดำเนินคดีกับคู่กรณีหลังประสบอุบัติเหตุถูกเฉี่ยวชน  /แต่หลังจากที่ตำรวจนำใบขับขี่ไปตรวจสอบประวัติ ก็พบว่ามีหมายจับหลายคดี ส่วนใหญ่ ร่วมกันฉ้อโกง และทุจริตหรือหลอกลวง หลายคดี   นี่เป็นภาพกล้องวงจรปิด หน้าสถานีตำรวจนครบาลห้วยขวางบันทึกไว้ได้ ขณะที่นายมานพ โพธิ์ทอง ผู้ต้องหามีหมายจับ หรือหนุ่มหรือหนุ่มไรเดอร์ส่งอาหาร วิ่งหนีออกจากห้องปฏิบัติการฝ่ายสืบสวน พร้อมกับมีตำรวจวิ่งไล่ตามออกมาติดๆ สุดท้ายหนีไม่รอดถูกตำรวจจับได้  ที่บริเวณกลางซอยประชาสงเคราะห์ 32 แขวง และเขตดินแดง  กรุงเทพมหานคร เมื่อวานที่ผ่านมา ( 20 เมษายน 67 )        ก่อนที่จะเกิดเหตุการณ์ดังกล่าว นายมานพ โพธิ์ทอง ผู้ต้องหา  ได้ประสบอุบัติเหตุรถเฉี่ยวชนกับคู่กรณี แต่จะมาขอดูภาพกล้องวงจรปิดจากตำรวจ จึงเดินทางเข้าพบพนักงานสอบสวน ซึ่งระหว่างสอบปากคำ ตำรวจได้ตรวจสอบประวัติผ่านระบบ crime ผลปรากฎว่าพบ หมายจับที่ยังค้างอยู่หลายหมายจับ ในระหว่างตรวจสอบคาดว่านายนายมานพ น่าจะรู้ตัวว่ามีหมายจับหลายคดี จึงได้ลุกขึ้นแล้ววิ่งหลบหนีออกไปนอกห้องปฏิบัติการฝ่ายสืบสวนโดยมีเจ้าหน้าที่ตำรวจฝ่ายสืบสวนวิ่งติดตามไปโดยทันที จนไปถึงบริเวณ ริมฟุตบาทบริเวณองค์พระตรงข้ามสน.ห้วยขวาง   ซึ่งเป็นคดีเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเทคโนโลยี, บัญชีม้า, 1 คดี / และที่ยังไม่ถูกดำเนินคดีอีกจำนวน 5 หมาย  ประกอบด้วย1.หมายจับศาลจังหวัดปัตตานี ที่ จ306/2566ลง 19 เม.ย.2566 ข้อหาร่วมกันฉ้อโกงฯหมดอายุความ 7 พ.ค..25802.หมายจับศาลจังหวัดจันทบุรี ที่100/2566ลง 10 เม.ย. 2575 ข้อหาร่วมกันฉ้อโกงฯ หมดอายุความ 16 ก.พ. 25753.หมายจับศาลอาญาที่ 1274/2567 ลง 27 มี.ค 2567 ข้อหาร่วมกันฉ้อโกงประชาขนฯหมายหมดอายุความ 28 เม.ย.25754.หมายจับศาลแขวงราชบุรี ที่จ.268 /2566 ลง 28 ก.พ.2566 ข้อหาร่วมกันฉ้อโกง หมายหมดอายุความ 14 ก.พ.25755.หมายจับศาลจังหวัดตาก ที่จ.7/2567 ลง12 ม.ค.2567 ข้อหาร่วมกันฉ้อโกงประชาชนฯหมายหมดอายุความ 22 เม.ย.2575 รวมทั้งหมด 6 หมายจับ หลังควบคุมตัวได้ ตำรวจนำตัวมายังห้องฝ่ายสืบสวน ประสานร้อยเวรสภ.ดอนตูมจังหวัดนครปฐม เรื่องรับตัวผู้ต้องหา และจัดทำบันทึกจับกุมนำตัวส่งพนักงานสอบสวนสภ.ดอนตูมเพื่อดำเนินคดีต่อไป

พบชิ้นส่วนมนุษย์ ลุงเจ้าของอู่รถสันนิฐานคงเป็นแค้นส่วนตัวถึงทำขนาดนี้วันที่ 21 เม.ย.67 เวลา 12.00 น.ผู้สื่อข่าวลงพื้นที่ไปยังที่เกิดเหตุบริเวณ ซอย สวิง เชื่อมต่อกับซอยจัดสรรร ถนนบ้านกล้วย-ไทรน้อย ต.พิมลราช อ.บางบัวทอง จ.นนทบุรี หลังจากเมื่อวันที่ 19 เม.ย.ที่ผ่านมา เจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.บางบัวทอง รับแจ้งพบชิ้นส่วนมนุษย์บริเวณข้อมือข้างขวา ต่อมาเจ้าหน้าที่ระดมคนทั้งเจ้าหน้าที่ตำรวจและอาสากู้ภัยปอเต็กตึ๊งปูพรมรวมไปถึงนำรถแบ็คโฮมาช่วยในการค้นหาตลอดทั้งวันจนกระทั่งพบชิ้นเนื้อส่วนต่างๆอยู่ในถุงขยะสีดำอีก4ถุง อยู่ในบ่อน้ำ นาย สมาน กลิ่นหอม อายุ 72 ปี เจ้าของอู่ทำสีรถที่เปิดอยู่บริเวณด้านหลัง เล่าว่า ตนเปิดอู่มาแล้ว 17 ปี ไม่เคยมีเหตุการณ์แบบนี้ เมื่อก่อนในซอยมีแต่ป่า หญ้าขึ้นรก จนกระทั่งเพิ่งจะมีโรงงานมาสร้างใหม่และมีคนงานเข้ามาทำงาน ส่วนใหญ่จะเป็นคนงานต่างด้าว พวกพม่าหรือเขมร อะไรแบบนี้ เคยเห็นพวกเขามีปากเสียงกันบ้างแต่ไม่บ่อยส่วนใหญ่เขาก็จะเคลียร์กันได้ ส่วนตัวคิดว่าน่าจะเป็นคนในพื้นที่นี้แหละ เพราะเขาคงจะต้องรู้ว่าสภาพในซอยนี้มันไม่มีอะไรนอกจากป่ากับหญ้าและคงไม่คิดว่าจะมีคนเจอ อย่างคราวนี้เห็นข่าวบอกว่ามีเด็กๆไปเจอข้อมือคน ตอนเเรกที่ได้ยินก็ตกใจเกิดเหตุแบบนี้แถมคนเจอยังเป็นเด็กอีก เพราะที่ผ่านมาไม่เคยมีเรื่องแบบนี้เกิดขึ้น ส่วนหมาแถวนี้ก็เยอะที่บ้านตนก็เลี้ยงไว้ตัวนึงไม่รู้ว่าหมาบ้านตนไปคาบชิ้นส่วนด้วยรึเปล่าเพราะหมาในซอยมันเยอะส่วนเรื่องคราบเลือดที่มีคนบอกว่าพอเจอก็คิดว่าน่าจะจริงเพราะถ้าเป็นเลือดจากหมากัดกันคงไม่เยอะและไหลเป็นทางแบบนั้น ตอนนี้ที่บ้านอยู่กันหลายคนทั้งลูกชายทั้งหลานๆ แต่ก็ไม่ได้กังวลหรือกลัวอะไร เพราะคิดว่าเขาน่าจะเป็นการแค้นส่วนตัวกันมากกว่าถึงทำขนาดนี้ ตนไม่ได้ไปทำอะไรให้ใครโกรธคงไม่มีใคคมาทำอะไรตนกับครอบครัว.

ดร.แก้วพร้อม ส.ส.ตรวจสอบโบสถ์วัดบ่อ มูลค่า100 ล้าน เสียหาย พื้นแตกเกิดหลุมลึก 3 เมตร เตรียมนัดคุยหน่วยงานเข้ารับผิดชอบ   จากกรณีที่เมื่อเวลา 18.30 น. วันที่ 20 เม.ย.67 ผู้สื่อข่าวได้รับแจ้งจาก พระมหาสวัสดิ์ ฐิตวณฺโณ เจ้าอาวาสวัดบ่อ ต.ปากเกร็ด อ.ปากเกร็ด จ.นนทบุรี ว่าบริเวณโบสถ์ มีรอยแตกร้าวที่กำแพง และพื้นกระเบื้องร้าวแตกกว้างเป็นหลุมลึกประมาณ 3.40 เมตร เนื่องจากวันที่ 6 เม.ย.67 ที่ผ่านมาเกิดอุบัติเหตุถนนทรุดตัวลงบริเวณหน้าวัดบ่อลึกประมาณ 4 เมตร ทำให้มีน้ำหนุนขึ้นมาจากแม่น้ำเจ้าพระยาจึงเกิดดินทรุดตัว ทางวัดจึงได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ซึ่งขณะมีเจ้าหน้าที่เข้ามาซ่อมแซมพื้นถนนที่ทรุดตัว ได้มีการขุดเจาะ ทำให้โบสถ์ภายในวัดเป็นรอยร้าวมากขึ้น ทางประชาชนและพระสงฆ์จึงเป็นห่วงเรื่องของความปลอดภัย และเกรงว่าโบสถ์จะถล่มลงมาในไม่ช้า และตอนนี้ยังไม่ได้รับการแก้ไขจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องว่าจะซ่อมอย่างไรให้ได้ตามมาตรฐาน    ล่าสุดเมื่อเวลา 10.30น. วันที่ 21 เม.ย.67 ที่วัดบ่อ ต.ปากเกร็ด อ.ปากเกร็ด จ.นนทบุรี ดร.ชัยเมศร์ ชัยพัชรกุลพงษ์ หรือ ดร.แก้ว ประธานกต.ตร.จังหวัดนนทบุรี และ นายปรีติ เจริญศิลป์ สส.พรรคก้าวไกลนนทบุรี เขต5 เข้าพบ พระมหาสวัสดิ์ ฐิตวณฺโณ เจ้าอาวาสวัดบ่อ เพื่อตรวจสอบพื้นโบสถ์เกิดโพรงรู ลึก3เมตร และจะรีบติดตามประสานหัวหน้าหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้ามาทำการซ่อมแซม รื้อใหม่ทั้งหมด     จากการสอบถาม พระมหาสวัสดิ์  เจ้าอาวาสวัดบ่อ กล่าวว่า วันนี้ดินในวัดที่เป็นโพรงสไลค์เพิ่มขึ้น ตนจึงให้ช่างขุดเจาะเพิ่มเพื่อตรวจสอบ ทราบว่ากำแพงวัดทรุดตัวเพิ่มอีก แต่ผละกระทบของตัวโบสถ์ยังไม่มากแต่ในนะยะยาวอาจจะมีปัญหา เพราะดืนข้างล่างจะสไลค์ตัวเพื่ม เพราะถ้าเข้าฤดูฝนอาจจะแย่ ส่วนหน่วยงานที่รับชอบโดยตรงเป็นหน่วยงานของการไฟฟ้านครหลวงที่วางระบบท่อ และเดินไฟผ่านพื้นถนน บอกว่าจะเข้ามารับผิดชอบแต่จะเป็นการซ่อมแซมแค่แก้ปัญหาชั่วคราว ยังไม่ได้คุยอย่างเป็นทางการ ตอนน้ตนต้องพึ่งทางด้าน สส. และ ดร.แก้ว เพื่อเข้ามาช่วยตรวจสอบ เพราะทางวัดดูโครงสร้างไม่เป็นในเรื่องของการก่อสร้าง ถ้าจะมาถามหาค่าเสียหายทางวัดตอบไม่ได้เพราะกว่าจะสร้างโบสถ์ขึ้นมาได้ ไม่ได้หมดเงิน 5-10 ล้าน แต่สร้างไปเรื่อยๆจนบานปลายทำให้ตีมูลค่าความเสียหายไม่ได้ จะต้องหาหน่วยงานที่เป็นกลางเข้ามาช่งยคุย คือ สส. และ ดร.แก้ว และถนนที่พึ่งซ่อมเสร็จไป มีญาติโยมเข้ามาร้องเรียนว่าถนนที่พึ่งซ่อมเสร็จเกิดรอยยุบ พึ่งเปิดใช้งานได้แค่ 10 วัน อาจจะเกิดอุบัติเหตุซ้ำได้เพราะรถใหญ่ผ่านเยอะมาก     สส.ปรีติ กล่าวว่า ตนเข้ามาตรวจสอบพบว่ากำแพงวัดเริ่มเอียง และดินถล่มด้านใต้โบสถ์ ต้นจะประสานหน่วยงานที่เกี่ยวข้องสภาวิศวกรรมเพื่อให้เข้ามาตรวจสอบ ว่าดินสไลค์ด้านใต้เกิดจากอะไร เกิดจากท่อระบายน้ำหรือการขุดเจาะของการไฟฟ้านครหลวง เพราะตอนนี้ทางวัดได้ติดป้ายไว้แล้วว่าพื้นที่นี้อันตราย     ส่วนทางด้าน ดร.แก้ว กล่าวว่า หลังจากที่ตนได้รับการร้องเรียนกับทางเจ้าอาวาสว่าถนนทรุด และทำให้โบสถ์ทรุดไปด้วย จากการตรวจสอบพบว่าด้านล่างมีความอันตายมากๆ ตนและท่าน สส. จะเดินหน้าต่อไปเพื่อเรียกร้องความเป็นธรรมให้กับทางวัด เพราะความเสียหายที่เกิดขึ้นต้องได้รับการชดเชย

สาวร้องเพจสายไหม ถูกเพื่อนบ้านงัดเข้ามาขโมยของกว่า10รอบ เสียหายหลักแสนวันนี้ (21 เม.ย.67) เวลา 10.30 น. ที่เพจสายไหมต้องรอด เขตสายไหม มีเคสมาขอความช่วยเหลือเนื่องจากได้รับความเดือดร้อน เกิดความทุกข์ร้อนไม่สบายใจ กรณีสาวถูกเพื่อนบ้านมหาภัยงัดบ้านขโมยของกว่า10ครั้งมูลค่าความเสียหายกว่าแสนบาท  นางสาว สุภารัศมิ์  วรรธนะเพียร ผู้เสียหาย กล่าวว่า ตอนแรกอาศัยอยู่ที่บ้านหลังนี้ แถวหลังวัดบัวขวัญ แต่พอได้งานใหม่ก็ต้องไปอาศัยอยู่ที่ต่างจังหวัด บ้านหลังนี้จึงถูกทิ้งไว้ ภายในบ้านจะมีอะไหล่ของรถสิบล้อไว้อยู่ แต่บ้านตรงข้ามเข้ามาขโมยของภายในบ้าน นำอะไหล่เหล่านี้ไปขาย ซึ่งคาดว่าน่าจะเริ่มเข้ามาขโมยตั้งแต่เมื่อช่วงปีที่แล้วที่ไม่ได้อยู่ที่บ้าน ช่วงแรกๆยังไม่ได้ติดตั้งกล้องวงจรปิดเลยไม่รู้ว่าป็นใครและไม่มีพยานหลักฐาน ต่อมาติดกล้องวงจรปิดจึงทราบว่าเป็นบ้านหลังตรงข้ามที่เข้ามาขโมยของ ซึ่งเข้ามาเกือบจะ10ครั้งได้แล้ว หลังจากติดหล้องวงจรปิดช่วงแรกก็ไม่มีเหตุการณ์อะไร ต่อมาเมื่อขโมยก็ได้เข้ามาขโมยของอีกรวมทั้งขโมยกล้องวงจรปิดไปด้วยสองตัว ณ ตอนนี้รวมมูลค่าของที่ถูกขโมยไปร่วม 100,000 บาท ตนจึงตัดสินใจแจ้งความที่สภ.ลาดหลุมแก้ว เมื่อ 20 เมษายนที่ผ่านมา ซึ่งตำรวจได้รวบรวมพยานหลีกฐานจากกล้องวงจรปิดและบอกว่าขอเวลาไม่เกินสองวันจะสามารถจับตัวผู่ก่อเหตุได้ ทั้งนี้ผู้ก่อ้หตุและผู้เสียหายไม่เคยพูดคัยเจรจากันมาก่อนแต่คิดว่าผู้ก่อเหตุซึ่งเป็นบ้านฝั่งตรงข้ามน่าจะรู้เห็นเป็นใจกันทั้งครอบครัวในการขโมยของ ประกอบกับเพื่อนบ้านข้างเคียงเบ่าว่าก่อนหน้านี้บ้านหลังอื่นบริเวณใกล้เคียงก็ถูกขโมยของเหมือนกันแต่ไม่ได้ติดใจเอาความเพียงแต่ให้เอาของมาคืนเท่านั้น ด้านนายเอกภพ เหลืองประเสริฐ ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย และผู้ก่อตั้งเพจสายไหมต้องรอด ก็ขอให้ตำรวจสภ.ลาดหลุมแก้วดำเนินการทาวคดีต่อผู้ก่อเหตุให้เร็วที่สุด

  สาวประเภท 2 แปลงเพศพลาดไส้แตก ทรมานหนัก หาหมอดูแลวันที่ 21 เม.ย. ที่ทำการเพจสายไหมต้องรอด คุณอนิรุทธ์ วงษุ์อุทร มาร้องขอกับเพจสายไหมฯ โดยนายเอกภพ เหลืองประเสริฐ หลังผ่าตัดแปลงเพศ แล้วเกิดความผิดพลาด ทำให้ลำไส้ใหญ่แตก ทำให้ได้รับผลกระทบต่อการใช้ชีวิต จนถึงขั้นคิดสั้นอยากฆ่าตัวตาย  คุณอนิรุทธ์ เปิดเผยกับสื่อมวลชนว่า ตนไปผ่าตัดแปลงเพศตั้งแต่วันที่ 10 ตุลาคม 2566 ในราคา 72,000 บาท ผ่านไป 11 วัน หมอให้แยงโม หลังจากนั้นตนตกเลือด จึงกลับไปหาหมอคนเดิม หมอให้พักรักษาตัวอยู่ประมาณ 17 วัน โดยให้งดน้ำและอาหาร ซึ่งการไปรักษาตัวกับหมอแต่ละครั้งหมอไม่ได้ทำอะไรเลยแค่เรียกให้ไปหาเท่านั้น ตนทรมานมาก อยากกลับบ้านตลอด รู้สึกเสียสุขภาพจิตมากเหมือนตายทั้งเป็น บางครั้งก็รู้สึกอยากฆ่าตัวตาย โดยหมอก็ไม่ได้เปิดเผยว่าสาเหตุเกิดจากอะไร ผลกระทบในการใช้ชีวิตประจำวัน คุณอนิรุทธ์ เผยว่า ทุกวันนี้ต้องใส่ผ้าอนามัยวันละ 5-6 ผืน เนื่องจากอุจจาระไหลอยู่ตลอดเวลา ลำบากต่อการเดิน นั่งและรับประทานอาหาร ตนเคยไปปรึกษาเรื่องการรักษากับคลินิกอื่น แพทย์คลินิกอื่นบอกว่า เธอลำไส้ใหญ่แตกเนื่องจากการผ่าตัดแปลงเพศที่ผิดพลาด หากจะรักษาอยู่ที่ประมาณ 4-5 แสนบาท ตนไม่มีเงินจ่ายมากขนาดนั้น  วันนี้ตนไม่ได้อยากเอาผิดหมอเจ้าของไข้  เพียงอยากให้มารับผิดชอบเรื่องค่ารักษา และส่งตัวไปรักษากับหมอผู้เชี่ยวชาญ ด้านนายเอกภพ  เผยว่า ตนจะยื่นเรื่องที่กรมสนับสนุนบริการสุขภาพ กระทรวงสาธารณสุข เพื่อไปตรวจสอบว่าขั้นตอนการรักษาถูกต้องหรือไม่ และช่วยให้เป็นคนกลางในการไกล่เกลี่ยพูดคุยของทั้งสองฝ่าย และอยากฝากหมอ อยากให้มาช่วยดูแล ช่วยเมตตาผู้เสียหายด้วย

แม่นักเรียนชั้น ม.3 ขอความเป็นธรรมลูกชายเสียชีวิตหลังร่วมกิจกรรมทางโรงเรียนแม่ของนักเรียนชายชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 ของโรงเรียนแห่งหนึ่งในจังหวัดเพชรบูรณ์ เข้าร้องทุกข์เพจสายไหมต้องรอด ช่วยเหลือหลังลูกชายไปร่วมปัจฉิมนิเทศ ที่โรงเรียนจัดขึ้นที่ในพื้นที่จังหวัดชลบุรี แล้วเกิดอุบัติเหตุขณะทำกิจกรรมพุ่งลงทะเล หัวกระแทกพื้นทรายจนเสียชีวิต แต่ทางโรงเรียนกลับไม่มีการข่วยเหลือเยียวยาเท่าที่ควร นางสาวพัชรี สามา อายุ 44 ปี แม่ของนายรัชวัต มั่นทุ่ง อายุ 15 ปี นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาแห่งหนึ่งในจังหวัดเพชรบูรณ์ เข้าพบนายเอกภพ เหลืองประเสริฐ ผู้ก่อตั้งเพจสายไหมต้องรอด ช่วยเหลือ หลังมองว่าการเสียชีวิตของลูกชายมีข้อสงสัย และไม่ได้รับความเป็นธรรมหลังโรงเรียนพาไปทำกิจกรรมปัจฉิมนิเทศ ที่หาดนางรำ อำเภอสัตหีบ จังหวัดชลบุรี เมื่อวันที่ 21 มีนาคม 2567 ที่ผ่านมา โดยทางโรงเรียนได้ชี้แจงว่าก่อนเหตุการณ์้กิดขึ้นลูกชายได้ร่วมเล่นฟุตบอลชายหาดกับเพื่อนนักเรียน แต่ระหว่างทำกิจกรรมในกลุ่มนักเรียนได้ตั้งกฎลงโทษกัน โดยการทำท่าสมอบก หรือพุ่งเอาหัวปักพื้นทรายทำให้ลูกชายหมดสติและไปเสียชีวิตที่โรงพยาบาล จากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทำรอบครัวต้องยืมเงินและกู้เงินมาจัดงานศพเป็นเงินจำนวนหลายหมื่นบาท แต่เมื่อทวงถามความรับผิดชอบจากทางโรงเรียนกลับได้รับเงินช่วยเหลือซึ่งได้มาจากการเรี่ยไรจำนวนกว่า 10,000 บาท ซึ่งก็ยังไม่เพียงพอ ทำให้ต้องรับภาระหนีสินจำนวนมาก  ภายหลังเกิดเหตุทางครอบครัวไม่ได้ติดใจในสาเหตุการตายเชื่อว่าเป็นอุบัติเหตุ แต่เมื่อได้เข้ามาปรึกษากับทางเพจสายไหมต้องรอดแล้ว กลับมองว่ามีหลายข้อสงสัยถึงสาเหตุการเสียชีวิตของลูกชาย อีกทั้งก่อนหน้านี้ตัวเองไม่รู้เรื่องเกี่ยวกับด้านกฎหมาย และถูกทางบุคลากรของโรงเรียนพูดในทำนองข่มขู่ ทำให้ไม่ได้เข้าแจ้งความเอาผิดกับใคร ซึ่งภายในวันพรุ่งนี้เพจสายไหมต้องรอดจะพาครอบครัวผู่เสียชีวิตเดินทางไปแจ้งความที่สถานีตำรวจภูธรสัตหีบ ดำเนินคดีกับผู้ที่เกี่ยวข้องทั้งหมด พร้อมจะประสานงานกับทางกระทรวงศึกษาธิการให้ตรวจสอบเรื่องที่เกิดขึ้นอีกด้วยสำหรับนายรัชวัต มั่นทุ่ง ผู้เสียชีวิตเรียนจบชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 ด้วยเกรดเฉลี่ย 3.90 ซึ่งถือว่าเป็นเด็กนักเรียนเรียนดี ใฝ่ฝันอยากเป็นข้าราชการเป็นอนาคตที่ดีของครอบครัว ทางคริบครัวจึงอยากเรียกร้องความเป็นธรรมให้ถึงที่สุด

CHANGE LANGUAGE
Powered by
คนข่าวออนไลน์ khonkhao.com
ตีแผ่ ทุกเรื่องราว เจาะลึกทุกความจริง ช่วยเหลือทุกพื้นที ด้วยทีมข่าวมืออาชีพ
บริการของเรา
รูปภาพของเรา
ที่ตั้งของเรา
บัญชีชำระเงิน

คนข่าวออนไลน์ khonkhao.com

ตีแผ่ ทุกเรื่องราว เจาะลึกทุกความจริง ช่วยเหลือทุกพื้นที ด้วยทีมข่าวมืออาชีพ

แชร์หน้านี้
โหลดหน้าใหม่
คัดลอกลิงก์