จับไรเดอร์แสบแอบฉกกระเป๋าลูกค้า มูลค่าทรัพย์สินแสนกว่าบาทตำรวจสอบสวนกลาง (CIB) โดย กองบังคับการปราบปราม ภายใต้การอำนวยการของพล.ต.ท.จิรภพ ภูริเดช ผบช.ก., พล.ต.ต.โสภณ สารพัฒน์ รอง ผบช.ก., พล.ต.ต.สุวัฒน์ แสงนุ่ม รอง ผบช.ก., พล.ต.ต.มนตรี เทศขัน ผบก.ป., พ.ต.อ.พรศักดิ์ เลารุจิราลัย รอง ผบกป., ว่าที่ พ.ต.อ.สุริยศักดิ์ จิราวัสน์ผกก.3 บก.ป., พ.ต.อ.ยศวัจน์ แก้วสืบธัญนิจ ผกก.สภ.เมืองขอนแก่น, พ.ต.ท.ภาณุมาศ แสงส่งรอง ผกก.3 บก.ป., พ.ต.ท.พงษ์พิทักษ์ เหล็กชูชาติ รอง ผกก.3 บก.ป., พ.ต.ท.พงศกร ตันอารีย์ รอง ผกก.3 บก.ป., พ.ต.ท.อภิมันฑ์ บานชื่น รอง ผกก.3 บก.ป. และ พ.ต.ท.วิโรจน์ ภูมิเพชรฤาชา รอง ผกก.สส.สภ.เมืองขอนแก่น เจ้าหน้าที่ชุดจับกุม นำโดย พ.ต.ท.ณัฐดนัย สีแข่ไตร สว.กก.3 บก.ป., ร.ต.อ.วัตรสัณห์ เนตรหาญรอง สว.กก.3 บก.ป., ร.ต.ท.วิทยา สุทธิปัญโญ รอง สว.(ป.)กก.3 บก.ป., ร.ต.ท.สุรศักดิ์ บุญเพ็งรอง สว.(ป.)กก.3 บก.ป., ร.ต.ต.ชโยธรณ์ ทองนาค รอง สว.(ป.)กก.3 บก.ป., ร.ต.ต.มนตรี โสภัยรอง สว.(ป.)กก.3 บก.ป. และเจ้าหน้าที่ตำรวจ กก.3 บก.ป. พร้อมกำลังเจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.เมืองขอนแก่น ร่วมกันจับกุม นายสมพงษ์ฯ อายุ 42 ปี ซึ่งต้องหาว่ากระทำความผิดฐาน “ลักทรัพย์ฯ หรือรับของโจร” สถานที่จับกุม บริเวณบ้านพักในพื้นที่ ต.ในเมือง อ.เมือง จ.ขอนแก่น ของกลางที่ตรวจยึด1. รถจักรยานยนต์ จำนวน 1 คัน2. เงินสด จำนวน 26,940 บาท3. สมุดบัญชีธนาคาร จำนวน 15 เล่ม4. กระเป๋าผ้าสะพายข้าง พร้อมทรัพย์สินอื่น ๆ อยู่ภายใน จำนวน 1 ใบ พฤติการณ์ สืบเนื่องจากเจ้าหน้าที่ตำรวจได้รับแจ้งจากผู้เสียหายว่า ถูกผู้ต้องหาซึ่งเป็นพนักงานส่งของ ลักหยิบกระเป๋าไป โดยขณะที่ผู้เสียหายไปนั่งรอคิวที่ร้านอาหารแห่งหนึ่งภายในห้างสรรพสินค้าในพื้นที่จ.ขอนแก่น เมื่อผู้เสียหายได้คิวที่นั่งจึงเข้าไปนั่งโต๊ะภายในร้านอาหาร ต่อมาประมาณ 10 นาที ผู้เสียหายนึกขึ้นได้ว่า ลืมกระเป๋าไว้ที่หน้าเคาน์เตอร์ จึงรีบวิ่งออกมาดูปรากฏว่า กระเป๋าได้หายไปแล้ว ซึ่งภายในกระเป๋ามีทรัพย์สินและเงินสดประมาน 120,000 บาท จึงรีบตรวจสอบดูกล้องวงจรปิดทางร้าน พบพนักงานส่งของที่นั่งรออาหารได้หยิบกระเป๋าไป จากนั้นผู้ต้องหาจึงเข้าแจ้งความต่อพนักงานสอบสวนที่ สภ.เมืองขอนแก่น เพื่อดำเนินคดีกับผู้ต้องหา ต่อมาเจ้าหน้าที่ตำรวจได้ทำการสืบสวนจนทราบว่า ผู้ต้องหารายนี้ คือนายสมพงษ์ฯ โดยหลังก่อเหตุ ผู้ต้องหาได้หลบหนีมาที่บริเวณบ้านพักในพื้นที่ ต.ในเมือง อ.เมือง จ.ขอนแก่น เจ้าหน้าที่ตำรวจชุดจับกุมจึงได้เดินทางไปตรวจสอบ พบผู้ต้องหาอยู่ที่บริเวณดังกล่าว เจ้าหน้าที่ตำรวจจึงได้แสดงตัวและเข้าตรวจสอบพบของกลางดังรายการข้างต้น จากนั้นเจ้าหน้าที่ตำรวจนำตัวผู้ต้องหาพร้อมของกลางส่งพนักงานสอบสวน สภ.เมืองขอนแก่น เพื่อดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป เตือนภัย ตำรวจสอบสวนกลาง (CIB) ฝากเตือนภัยพี่น้องประชาชน ขอให้ระวังทรัพย์สินมีค่าของท่าน โดยการพกติดตัวเท่าที่จำเป็น และระมัดระวังกลุ่มมิจฉาชีพที่อาจจะแฝงตัวมาในรูปแบบต่างๆ จากการสอบสวนเบื้องต้น ให้การรับสารภาพตลอดข้อกล่าวหา

ตำรวจรวบชายคุ้มคลั่งเมายาบ้าเดินควงมีดอาละวาด ด่ากราด กลางซอยเมื่อเวลา 20.50 น. วันที่ 11 เม.ย.67 พ.ต.ต.ปิยะวัฒน์ โภคา สวป.รรท.รอง ผกก.สภ.เมืองนนทบุรี  ร.ต.ท.วิโรจน์ เทศเทียน รอง สวป.สภ.เมืองนนทบุรี ค.ต.สำเริง ไชยสาร ด.ต.สุรชาติ ขันตี ค.ต.พิเชษฐจำปาทอง ส.ต.ท.เทพพล พลเยี่ยม  ส.ต.ต.นัทธวัฒน์ เกตุแก้ว ส.ต.ต.ภาณพงศ์ ศรีแสงใส ผบ.หมู่(ป) สภ.เมืองนนทบุรี ได้ร่วมจับกุมตัวนายนพดลล ปานแก้ว อายุ 38 ปี  ได้ภายในซอย ประชาราษฎร์ 1 ต.ตลาดขวัญ อ.เมืองนนทบุรี จ.นนทบุรี พร้อมด้วยของกลาง  คือ 1.ยาเสพติดให้โทษประเภท1 (ยาบ้า) ชนิดเม็ด สีส้ม กลมแบน ด้านหนึ่งเรียบ อีกด้านประทับอักษร WY จำนวน 1 เม็ด 2. ยาไอซ์ น้ำหนักชั่งรวมถุง 0.5 กรัม บรรจุอยู่ในถุงพลาสติกใส แบบรูดเปิด-ปิด โดยตำรวจแจ้งข้อกล่าวหา  มียาเสพติดไว้ในความครอบครองซึ่งยาเสพติดให้โทษประเภท 1 (ยาบ้าและยาไอซ์) โดยผิดกฎหมาย , เสพสารเสพติดให้โทษประเภท 1 โดยผิดกฎหมาย ส.ต.ท.เทพพล พลเยี่ยม  ผบ.หมู่(ป) สภ.เมืองนนทบุรีส.ต.ต.ภาณพงศ์ ศรีแสงใส ผบ.หมู่(ป) สภ.เมืองนนทบุรีกล่าวว่า วันนี้เวลาประมาณ 20.50 น. เจ้าหน้าที่ตำรวจสายตรวจสภ.เมืองนนทบุรี ได้รับแจ้งเหตุจากศูนย์วิทยุนนทรี ว่า มีชายวิกลจริตอาละวาด ภายในซอย วัดลานนาบุญ (ซ.ประชาราษฎร์ 1) ต.ตลาดขวัญ อ.เมืองนนทบุรี จ.นนทบุรี เจ้าหน้าที่ตำรวจจึงรีบรุดเข้าตรวจสอบพบนายนพดล ผู้ต้องหา ยืนอยู่บริเวรกลางซอยประชาราษฎร์1 ในได้ตะโกนเอะอะโวยวาย ในมือข้างขวาถืออาวุธมีดอีโต้สีดำ ความยาวประมาณ 12 นิ้ว ทางตนจึงทำการเรียกกำลังเสริมมาที่เกิดเหตุกว่า 7 นาย จากนั้นได้ออกคำสั่งให้ผู้ก่อเหตุวางอาวุธและนอนลงกับพื้น ซึ่งใช้เวลาในการพูดคุยไกล่เกลี่ยนานกว่า 10 นาที นายนพคล จึงยินยอมทำคำสั่งทางเจ้าหน้าที่ตำรวจจึงทำการเข้าจับกุมตามยุทธวิธีตำรวจ และทำการค้นตัวผู้ก่อเกตุ  พบยาบ้าชนิดเม็ด สีส้ม จำนวน 1 เม็ด และ ยาไอซ์ น้ำหนักชั่งรวมถุง 0.5 กรัม บรรจุอยู่ในถุงพลาสติกใส แบบรูดเปิด-ปิด ซึ่งอยู่ในกระเป๋ากางเกงผู้ก่อเหตุ ก่อนนำตัวตัวนายนายนพดลไปตรวจหาสารเสพติดในร่างกายที่โรงพยาบาลปากเกร็ด ปรากฎว่าผลตรวจพบมีสารเสพติดในร่างกาย จึงนำตัวส่งพนักงานสอบสวนดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป จากการสอบถามนายนพดล ผู้ต้องหา ได้ให้การวกไปวนมาพูดจาไม่รู้เรื่อง แต่ยอมรับว่ายอมรับว่ายาเสพติดทั้งหมดดังกล่าวเป็นของตนจริง โดยได้รับมาจากนายเล็ก แถวชุมชนหลังบิ๊กซี ติวานนท์ ส่วนสาเหตุที่ก่อเหตุทางตำรวจพยายามสอบถามสาเหตุที่พกที่ถืออาวุธมีด ทางผู้ต้องหาอ้างว่า คนที่บ้านปิดบ้านไม่ให้ตนออกไปข้างนอกจึงเกิดอาการคลุ้มคั่งซึ่งตนเพิ่งเคยเป็นครั้งแรก

ตรวจสุขภาพพนักงานโรงงานเก็บแคดเมียมย่านบางซื่อ ขอประชาชนเบาใจยังไม่พบปนเปื้อนในแหล่งน้ำ คาดรู้ผลตรวจดินเย็นนี้นางสาวทวิดา กมลเวชช รองผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร เปิดเผยหลังตรวจเยี่ยมการตรวจคัดกรองกลุ่มเสี่ยงสัมผัสกากแคดเมียมที่ร้านค้าของเก่าในเขตบางซื่อ ที่ศูนย์บริการสาธารณสุข 19 วงศ์สว่างว่า ได้ตรวจสุขภาพของพนักงานทั้ง 12 คนในโรงงานดังกล่าว ซึ่งเป็นกลุ่มที่อยู่ใกล้ชิดที่สุดเป็นเวลานาน โดยได้ตรวจปัสสาวะ เลือดพร้อมซักประวัติเพื่อตรวจสอบความเสี่ยงต่อบุคคลในครอบครัว คาดว่าจะทราบผลหลังสงกรานต์นี้ และหลังจากนี้จะส่งหน่วยแพทย์ไปตรวจร่างกายให้กับพนักงานโรงงานจำนวน 10 คนในโรงงานใกล้เคียง และตรวจสอบเจ้าหน้าที่ฝ่ายรักษาความสะอาดของกรุงเทพมหานคร เนื่องจากมีโรงจอดรถอยู่ใกล้กับโรงงานดังกล่าว รวมถึงประสานกรมอนามัยเพื่อให้ตรวจสอบการปนเปื้อนในดินระยะ 500 เมตรเพื่อความมั่นใจด้วย แต่เบื้องต้นทุกคนมีสภาพร่างกายปกติ จึงขอให้ประชาชนเบาใจ  ขณะที่ผลตรวจแหล่งน้ำบริเวณโรงงานทั้งด้านใน ด้านนอก และน้ำที่ปล่อยจากโรงงาน ยังไม่พบการปนเปื้อน ส่วนผลการตรวจดินในบริเวณที่จัดเก็บสารและรัศมี 200 เมตรรอบโรงงานคาดว่าจะทราบในเย็นวันนี้  ด้านผู้ช่วยศาสตราจารย์แพทย์หญิงปฐมพร ศิรประภาศิริ นายแพทย์ทรงคุณวุฒิ ปฏิบัติหน้าที่ผู้ตรวจราชการกระทรวงสาธารณสุขเขตสุขภาพที่ 13 กรุงเทพมหานคร กล่าวว่า กรณีนี้ตรวจพบสารในบรรจุภัณฑ์ที่ปิดอย่างมิดชิด ทำให้การฟุ้งกระจายน้อยมาก ไม่สามารถตรวจพบได้ในทั้ง น้ำดื่มน้ำใช้และน้ำเสียจากโรงงาน ดังนั้นจึงไม่น่าเป็นห่วง และจากการตรวจสอบเจ้าหน้าที่ในโรงอาหารในวันนี้ก็ยังไม่พบว่ามีผู้ที่มีอาการผิดปกติ ระหว่างนี้ขอให้ดูแลตัวเอง หากไม่พบการปนเปื้อนในดินก็จะผ่อนคลายมาตรการการป้องกันตนเองลงได้

เจ้าของร้านหัวร้อนยิงเมียดับ ก่อนยิงตัวเองหวิดดับ ปมทะเลาะบิลสั่งของลูกค้า ด้านลูกชายให้ข้อมูลว่า พ่อไม่เคยมาช่วยงาน ชอบดื่มเบียร์และเล่นพนันตำรวจ สน.คันนายาว พร้อมด้วย เจ้าหน้าที่อาสามูลนิธิปอเต็กตึ้ง เจ้าหน้าที่กองพิสูจน์หลักฐาน ร่วมกันไปตรวจสอบเหตุที่ร้านค้าจำหน่ายออกซิเจนแห่งหนึ่ง ที่ตั้งอยู่บนถนนเลียบคลองสอง แขวงบางชัน เขตคลองสามวา กรุงเทพฯ หลังได้รับแจ้งมีคนถูกอาวุธปืนไม่ทราบขนาดยิงเสียชีวิต 1 คน  ทีมข่าวได้มายังจุดเกิดเหตุ ซึ่งเป็นอาคารพาณิชย์ 4 ชั้น 2 คูหา จำหน่ายออกซิเจน ไนโตนเจน อาร์กอน คาร์บอนไดออกไซต์ อะเซทิลีน ฮีเลียมไนตรัส อุปกรณ์เครื่องตัด น็อตสกรู อะไหล่แอร์ ทั้งปลีกและส่ง  ทีมข่าวมีโอกาสได้พูดคุยกับนายเรย์ อายุ 40 ปี ซึ่งเป็นลูกจ้างของร้านจำหน่ายถังออกซิเจนมานานกว่า 1 ปี เล่าให้ฟังว่า โดยปกติแล้ว นางวรรณา อายุ 60 ปี ผู้เสียชีวิต ซึ่งเป็นเป็นภรรยาของนายนันฐกกุล อายุ 68 ปี ผู้ก่อเหตุ นางวรรณาจะอยู่ที่ร้านกับลูกชาย โดยที่นายนันฐกุลผู้เป็นสามี จะเข้ามาร้านเป็นบางวัน ซึ่งทุกครั้งที่เข้ามาก็จะมีปากเสียงทะเลาะวิวาทกันอยู่บ่อยครั้ง แต่ไม่เคยลงไม้ลงมือทำร้ายร่างกายกัน  ซึ่งในวันที่เกิดเหตุนั้น ทั้งสองคนได้มีปากเสียงทะเลาะกันเรื่องจะส่งของให้ลูกค้า โดยผู้เสียชีวิตได้ต่อว่าผู้ก่อเหตุว่าไม่รู้เรื่องและไม่เคยมาช่วยงาน ทำให้ผู้ก่อเหตุรู้สึกไม่พอใจ ก่อนจะวิ่งไปหยิบอาวุธปืนไม่ทราบขนาดที่อยู่ในรถยนต์ซึ่งจอดอยู่หลังร้านออกมา ก่อนจะจ่อไปที่หัวแล้วลั่นไกยิงมา 1 นัด ซึ่งตอนอยู่ในเหตุการณ์ก็รู้สึกตกใจมากจึงเลือกตะโกนขอให้หยุดพร้อมกับวิ่งออกมาจากร้านเพื่อขอความช่วยเหลือจากชาวบ้านคนอื่น จากนั้นก็ได้ยินเสียงปืนดังขึ้นมาอีก 1 นัด และเห็นว่าผู้ก่อเหตุได้ล้มลงไปแล้ว จึงรีบโทรเรียกเจ้าหน้าที่ให้เข้ามาตรวจสอบ  ด้านนายอลงกร อายุ 29 ปี  ลูกชายผู้เสียชีวิต เล่าให้ทีมข่าวฟังว่า ตนเป็นลูกคนเดียวของครอบครัว พ่อแม่เปิดร้านจำหน่ายออกซิเจนมาหลายสิบปี ปกติแม่จะเป็นคนดูแลร้าน เป็นเสาหลักสร้างครอบครัว ซึ่งพ่อไม่ค่อยสนใจช่วยเหลือขายของในร้าน ชอบดื่มเบียร์และเคี้ยวใบกระท่อม ชอบพนันตีไก่ ปกติพ่อกับแม่ทะเลาะกันเป็นประจำอยู่แล้ว แม้กระทั้งเป็นเรื่องเล็กน้อย ทะเลาะกันเรื่องขายของเรื่องการใช้ชีวิตประจำวันพูดจาไม่เข้าหูกัน เงินในร้านหาย 20 บาท เป็นต้น ส่วนปืนเป็นของแม่ซื้อไว้ป้องกันตัว ก่อนเกิดเหตุตนอยู่ห้องนอนชั้นบนพ่อกับแม่ขายของอยู่ในร้านข้างล่าง ต่อมาได้ยินเสียงปืน 1 นัด จึงวิ่งลงมาดูเห็นพ่อใช้ปืนจ่อหัวตัวเองและลั่นไกดังสนั่นอีก 1 นัดต่อหน้า  ขณะที่เจ้าหน้าที่อาสามูลนิธิปอเต็กตึ้ง ก็ให้ข้อมูลว่า ผู้ก่อเหตุได้รับบาดเจ็บที่บริเวณศีรษะฝั่งขวา ซึ่งเกิดจากการใช้อาวุธปืนพยายามยิงปลิดชีพตัวเอง แต่วิธีก็สุภาพจึงทำให้แค่โดนถากๆ ไม่ถึงกับเสียชีวิต  ก่อนจะรีบนำตัวส่งไปที่โรงพยาบาลนพรัตนราชธานีโดยเร่งด่วน

สาวอีสานรอเก้อเจอหนุ่มหลอกโอนเงินสูญสามแสนแขนก็ไม่ได้จับหน้าก็ไม่เคยเจอ  เมื่อเวลา 12.00 น .วันที่ 11 เมษายน 67 ที่มูลนิธิรณรงค์ทวงคืนความยุติธรรมในสังคม ถนนแจ้งวัฒนะ ตำบลบางตลาด อำเภอปากเกร็ด จังหวัดนนทบุรี นางสาวอ้อม (ขอสงวนชื่อและนามสกุล) อายุ 40 ปี อาชีพแม่บ้าน เดินทาง เข้าร้องเรียนขอความเป็นธรรมจากนายรณณรงค์ แก้วเพ็ชร์ ประธานมูลนิธิ เพื่อร้องเรียนขอความเป็นธรรมหลังตนเอง ถูก ชายหนุ่มทักเข้ามาในเฟซ แล้วหลอกแต่งงานก่อนจะหยอดคำหวานให้โอนเงิน ผ่านบัญชีไปที่พระรูปหนึ่งซึ่งอ้างว่าเป็นเพื่อนของชายหนุ่มคนนี้ตลอดเวลาตนเองช่วยเหลือสารพัดทุกเรื่อง จนสูญเงินกว่า 300,000 บาท เมื่อเอ่ยปากทวงถามก็ถูกบ่ายเบี่ยงเรื่อยมา    นางสาวอ้อม  ผู้เสียหาย เล่าว่า ตนเองรู้จักนายเวฟ อายุ 40 ปี ผ่านทางเฟซบุ๊ก โดยนายเวฟ เป็นคนทักมาพูดคุย ตั้งแต่ช่วงประมาณต้นปี 2564 จากนั้นคุยผ่านทางข้อความแชทกันได้ประมาณ 1 เดือน ก็ตกลงคบหาดูใจกัน โดยเป็นการพูดคุยผ่านการโทรด้วยเสียง และพิมพ์แชทข้อความคุยกันมาตลอด จากนั้นไม่นาน นายเวฟอ้างกับตนเองว่ามีปัญหาเรื่องการเงิน และมีการขอหยิบยืมเงินก้อนแรกจากตนเอง โดยอ้างว่าจะนำไปซ่อมคอมพิวเตอร์ และส่งหมายเลขบัญชีให้ โดยปลายทางเป็นชื่อ พระเชาวลิตร ซึ่งเป็นบัญชีของพระรูปหนึ่ง ภายในวัดแห่งหนึ่งที่จังหวัดสุรินทร์ โดยตนเองก็โอนเงินให้ตามปกติ และได้มีการถามนายเวฟ แฟนของตนเองว่าทำไมบัญชีปลายทางจึงเป็นชื่อพระ แต่นายเวฟอ้างกับตนเองว่าพระคือเพื่อนสนิท ที่เคยทำงานกู้ชีพด้วยกันที่จังหวัดสุรินทร์ และบอกอีกว่าบัญชีส่วนตัวของนายเวฟ ถูกธนาคารอายัดไม่สามารถใช้งานได้ จึงให้บัญชีเพื่อนซึ่งเป็นพระมาแทน ซึ่งขณะนั้นตนเองก็ไม่ได้เอะใจแต่อย่างใด   จากนั้นก็มีการพูดคุยและคบหากันมาเรื่อยๆ และนายเวฟก็มีการหยิบยืมเงินตนเองอยู่ตลอด และทุกครั้งก็จะโอนผ่านบัญชีพระเช่นเดิม  จากนั้นพระเชาวลิตร มีการทักข้อความเฟซบุ๊กมาหาตนเอง และมีการถามตนเองว่าทำไมถึงใจดีจัง และถามว่าทำไมต้องโอนเงินให้นายเวฟอยู่เรื่อยๆ ซึ่งตนเองก็มีการพูดคุยข้อความกับทางพระเชาวลิตร เพราะเข้าใจว่าพระคือเพื่อนของแฟน ครั้งหนึ่งเมื่อประมาณต้นปี 2564 หลังจากที่ตนเองคบหากับนายเวฟไปสักระยะ ตนเองได้เดินทางไปที่วัดแห่งหนึ่งในพื้นที่จังหวัดสุรินทร์ ซึ่งเป็นวัดที่พระเชาวลิตร เพื่อนของนายเวฟ แฟนหนุ่ม พำนักอยู่ แต่ปรากฏว่าเมื่อไปถึงตนเองได้เจอแค่พระเชาวลิตร และได้มีการสอบถามทางพระเชาวลิตรถึงนายเวฟ แต่ขณะนั้นพระบอกกับตนเองว่านายเวฟไม่อยู่ ออกไปกับแฟนสาวข้างนอก ทำให้ตนเองรู้สึกเสียใจเป็นอย่างมาก เพราะเข้าใจมาตลอดว่านายเวฟไม่ได้มีใคร และกำลังคบหาอยู่กับตนเอง   หลังจากนั้นก็มีการพูดคุยกับทางพระเชาวลิตร ซึ่งขณะนั้นทางพระมีการขอยืมเงินของตนเอง ซึ่งตนเองก็โอนเงินให้พระ แล้วจากนั้นก็กลับบ้านตามปกติเหตุการณ์ดังกล่าว ก็ยังคงมีการพูดคุยกับนายเวฟ และยังคบหาเป็นแฟนอยู่ตามปกติ จนกระทั่งช่วงกลางปี 2564 นายเวฟ มีการให้ความหวังตนเองอยู่เรื่อยๆ และมีการพูดคุยกันเรื่องการแต่งงาน โดยจะจัดงานแต่งที่บ้านของตนเองในพื้นที่จังหวัดสุรินทร์เช่นเดียวกัน ซึ่งขณะนั้นตนเองได้มีการให้คนในครอบครัวจัดเตรียมสถานที่ที่บ้าน และเชิญแขกใกล้เคียงมาร่วมงานแต่ง แต่ปรากฏว่าเมื่อถึงวันงาน นายเวฟ ซึ่งเป็นแฟนและเป็นเจ้าบ่าว กลับไม่มาที่งานแต่ง และอ้างว่าเข้ารับการรักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาล ซึ่งขณะนั้นทำให้ตนเองและครอบครัวเสียใจเป็นอย่างมาก แต่ก็ยังคงให้อภัยและพูดคุยกันคบหากันตามเดิม กระทั่งล่าสุด ตนเองและนายเวฟ ได้มีการตกลงที่จะจัดงานแต่งกันอีกครั้งในวันที่ 14 มีนาคม 2567 ที่ผ่านมา โดยนายเวฟ ได้ให้ตนเองโอนเงินไปให้ โดยอ้างว่าเป็นค่ามัดจำชุดแต่งงาน จำนวน 7,000 บาท ซึ่งตนเองก็โอนเงินผ่านบัญชีธนาคารของพระเชาวลิตรเช่นเคย และในวันที่ 12 มีนาคม 2567 ตนเองก็เดินทางจากกรุงเทพ เพื่อที่จะกลับจังหวัดสุรินทร์ และไปเตรียมเรื่องงานแต่งที่จะจัดขึ้นในวันที่ 14 มีนาคม 2567 แต่ปรากฏว่าขณะเดินทางก็ไม่สามารถติดต่อนายเวฟได้ ตนเองเริ่มเอะใจ เพราะก่อนหน้านี้เคยจัดงานแต่งเก้อไปแล้วหนึ่งครั้ง จนกระทั่งถึงวันงาน ก็ไม่สามารถติดต่อทั้งนายเวฟและพระเชาวลิตรได้อีก ทำให้ตนเองต้องนั่งรถกลับมาทำงานที่กรุงเทพด้วยน้ำตาและความเจ็บช้ำใจ   เมื่อติดต่อนายเวฟได้ ตนเองก็พยายามทวงถามถึงเรื่องเงิน และมีการบอกว่าจะไปขอความช่วยเหลือกับทนายรณณรงค์ ทำให้นายเวฟอ้างอยู่ตลอดว่าจะหาเงินมาคืนให้จนขณะนี้ก็ยังไม่ได้รับเงินคืนแม้แต่บาทเดียว นางสาวอ้อม ยังบอกอีกว่า ตลอดระยะเวลา 3 ปีที่ผ่านมาที่คบหากับนายเวฟนั้น ตนเองได้ยินแต่เสียงในโทรศัพท์ หน้าก็ไม่เคยเห็นแขนก็ไม่เคยจับและด้วยความรัก ที่มีทำให้สูญเงินให้นายเวฟกว่า 3 แสนบาท ยอมรับว่าขณะนี้ตนเองช้ำใจเป็นอย่างมาก และอยากที่จะได้เงินคืน จึงตัดสินใจหอบหลักฐานร้องมูลนิธิรณรงค์ทวงคืนความยุติธรรมในสังคม ตอนนี้ตนก็ถูกแม่ที่อยู่ทางบ้านรวมทั้งคนในครอบครัว ต่อว่าด่าทอที่ทำตัวเหมือนคนโง่ไปให้เขาหลอกซ้ำแล้วซ้ำเล่าจนตนอยากคิดจะฆ่าตัวตายหลายครั้งแล้ว  ทางด้านทนายรณณรงค์ กล่าวว่า วันนี้ทางผู้เสียหายได้เดินทางมาร้องเรียนกับตนหลังจากโอนเงินให้ทางแฟนหนุ่มที่คบหาดูใจมานานกว่า 3 ปี หมดเงินไปกว่า 3 แสนบาท ซึ่งผู้เสียหายไม่เคยเห็นหน้าแฟนหนุ่มโดยมีคนกลางเป็นพระภิกษุสงฆ์ในการรับโอนเงินเข้าบัญชีในทุกครั้ง ซึ่งเรื่องนี้ก็ได้ตั้งข้อสังเกตว่าแฟนหนุ่มผู้เสียหายที่อ้างว่าเป็นเจ้าหน้าที่กู้ชีพแห่งหนึ่งมีตัวตนจริงหรือไม่ หรืออาจจะเป็นคนเดียวกับพระที่เข้ามามีส่วนเกี่ยวข้องในเรื่องของสองคนนี้ โดยทางมูลนิธิรณรงค์ทวงคืนความยุติธรรมในสังคมจะให้ความช่วยเหลือโดยการทำหนังสือในการพูดคุยไกล่เกลี่ย พร้อมทั้งจะส่งคนไปสืบดูว่านายเวฟที่อ้างว่าเป็นเจ้าหน้าที่กู้ชีพแหน่งหนึ่งมีตัวตนจริงหรือไม่ ซึ่งในเรื่องนี้จากการที่ดูพยานหลักฐานสลิปโอนเงินเบื้องต้นอาจมีความผิดข้อหาฉ้อโกง มีโทษจำคุก 3 ปี ปรับ 60,000 บาท ทั้งนี้ก็จะให้ทางผู้เสียหายเข้าแจ้งความโรงพักในพื้นที่เพื่อดำเนินการตามขั้นตอนต่อไป

ทนายตั้มผิดหวังมา ปปป. ตามคืบหน้าคดีแต่ไม่เจอบิ๊กเต่า  รอดูทำตามวาทกรรมได้หรือไม่ เมื่อเวลา 13:30 น. นายษิทรา เบี้ยบังเกิด หรือทนายตั้ม ได้เดินทางมายัง กองบังคับการป้องกันปราบปรามการทุจริตและประพฤติมิชอบ (บก.ปปป.) เพื่อติดตาม ทวงถามความคืบหน้าคดีกับทาง พล.ต.ต.จรูญเกียรติ ปานแก้ว รองผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง โดยทนายตั้ม ระบุว่า เมื่อ 2 วันที่แล้ว คนโทรหา พล.ต.ต.จรูญเกียรติแล้ว ว่าจะเข้ามาติดตามเรื่องที่ตนเคยร้องให้สืบสวนข้อเท็จจริง ตั้งแต่ 28 มีนาคมที่ผ่านมา และตอนนี้ผ่านมาครึ่งเดือนแล้ว ตำรวจทำอะไรแล้วบ้าง / ซึ่งคดีนี้อยู่ในความดูแลของ กองกํากับการ 2 กองบังคับการปราบปรามการทุจริตและประพฤติมิชอบ (กก.2 บก.ปปป.) ซึ่งตนก็ได้ประสานกับทางผู้กำกับแล้ว ซึ่งตนได้ถามไถ่ถึงความคืบหน้าคดี ผู้กำกับบอกเพียงว่าได้ขอสเตทเม้นของน.ส.พิมพ์วิไลแล้วเมื่อวานนี้ ซึ่งขอก่อนที่ตนจะเดินทางมาเพียง 1 วัน  ที่ตนมาร้องที่ ปปป. เพราะอยากให้สอบเส้นทางการเงินข้าราชการทุกคน ว่ามีใครบ้างที่เอี่ยวเว็บพนัน ซึ่งการเดินทางมาวันนี้มาวันนี้ยังไม่มีความคืบหน้าอะไร รวมทั้งยังไม่เจอผู้ใหญ่ที่ให้คำตอบได้ / โดยหลังสงกรานต์ตนจะเดินทางมาติดตามคดีนี้ต่อ พร้อมย้ำว่า ที่ พล.ต.ต.จรูญเกียรติ บอกว่า "ใหญ่แค่ไหนก็จับ ไม่เคยเลียตูดใคร ถ้ามีหลักฐานก็จะดำเนินคดีทั้งหมด"  ท่านจะทำจริงหรือไม่ แต่ตอนนี้ไม่ได้หาหลักฐานเพื่ิอดำเนินคดีกับใครเลย สุดท้าย การที่ตนมาร้องที่นี่ คาดหวังว่าจะมีการดำเนินคดีกับกับตำรวจชั้นผู้ใหญ่ และบุคคลที่เกี่ยวข้องได้จริงๆ / ทนายตั้มยังพูดตัดพ้อ และยอมรับว่าเหนื่อย ท้อ ส่วนคดีที่ สน.เตาปูน มีตำรวจยศสารวัตรรับผิดชอบเพียงคนเดียว ทั้งที่ควรจะตั้งคณะกรรมการระดับนครบาลมาดูแล เหมือนคดีของ พล.ต.อสุรเชษฐ์ หักพาล รอง ผบ.ตร.  ซึ่งวันนี้ตนได้นำแผนผังของขบวนการส่วยลำดับที่ 19 ซึ่งเป็นส่วยสีดำ มาให้กับทาง พล.ต.ต.จรูญเกียรติ แต่ไม่พบท่าน ซึ่งส่วยนี้คาดว่าจะเปิดหลังสงกรานต์ แต่ตนจะมาตามความคืบหน้าคดีนี้ก่อน แล้วจะพิจารณาอีกทีว่าควรจะเปิดขบวนการส่วยลำดับที่ 19 หรือไม่

ทนายตั้ม ยื่นเอกสารคำให้การ พิมพ์วิไล ให้ สน.เตาปูน ปมบิ๊กตร.วันนี้ (11 เม.ย.67)  นายษิทธา เบี้ยบังเกิด หรือทนายตั้ม เดินทางมายัง สน.เตาปูน เพื่อนำเอกสารคำให้การที่เป็นลายลักษณ์อักษรของนางสาวพิมพ์วิไลรวม 9 แผ่นกระดาษ มาส่งมอบให้กับพนักงานสอบสวน สน. เตาปูน หลังจากที่ก่อนหน้านี้เคยพาพยานเข้าให้ข้อมูลมาแล้วแต่พนักงานสอบสวนทำคำให้การเพียงหนึ่งหน้ากระดาษไม่ละเอียดครบถ้วนจึงกังวลว่าอาจเป็นการเอื้อประโยชน์กับอีกฝั่ง  ส่วนที่เป็นคำให้การของนางสาวพิมพ์วิไลจะระบุ เกี่ยวกับเส้นทางโอนเงินจากบัญชีของตัวเธอเองว่าโอนเข้าบัญชีของใครบ้างอย่างละเอียด ขณะที่ตัวทนายตั้มวันนี้บอกว่า นอกจากจะพาพยานมายื่นคำให้การตัวเองยังมาติดตามความคืบหน้าคดีว่าพนักงานสอบสวนทำอะไรไปแล้วบ้างและจะออกหมายเรียก พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ สุขวิมล เมื่อไหร่  ส่วนกรณีที่คณะกรรมการพิจารณาเรื่องร้องเรียนตำรวจ (ก.ร.ตร.) รับเรื่องร้องเรียนให้ตรวจสอบพล.ต.อ.ต่อศักดิ์ หลังจากที่นำพยานไปให้ข้อมูลเมื่อวันที่ 9เมษายนที่ผ่านมา ทนายตั้มบอกว่า คณะกรรมการมีมติเป็นเอกฉันท์ว่าเรื่องที่ตัวเองร้องเรียนมีมูลและรับไว้พิจารณาซึ่งหลังจากนี้ก็จะเข้าสู่กระบวนการไต่สวนตามกระบวนการต่อไป หากพบความผิดจริงก็อาจไล่ออกหรือปลดออกจากราชการไว้ก่อนเพราะเรื่องนี้ถือเป็นเรื่องร้ายแรง  ในกรณีที่มีตำรวจนายหนึ่งร้องเรียน พล.ต.ท.เรวัช กลิ่นเกษร หนึ่งในคณะกรรมการตรวจสอบ ก.ร.ตร. ว่าอาจมีพฤติการณ์เอนเอียงเข้าข้างฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง ทนายตั้มบอกว่า ผู้ที่ร้องเรียนคนนี้ อยู่คนละฝั่งกับ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล และมีการฟ้องร้องกันหลายคดี มองว่าพอเห็นว่าเรื่องนี้พล.ต.ท.เรวัช ออกมาแอ็คชั่นเรื่องนี้ จึงออกมาดิสเครดิต พล.ต.ท.เรวัช   ส่วนการยื่นคำให้การของสายลับ ทนายตั้มบอกว่าตัวเองพาสายลับ เข้ายื่นคำให้การที่เป็นไรรักอักษรตั้งแต่เมื่อวานนี้แล้ว ซึ่งรายละเอียดจะเป็นเรื่องที่สายลับเคยทำงานกับตำรวจชุดเก็บส่วย ลักษณะและกระบวนการเก็บส่วยเป็นยังไงบ้างและหลังจากเก็บส่วยเสร็จได้รวบรวมเงินส่งกับดาบยาว รองฟาง ก่อนนำเงินใส่ถุงดำไปไว้ห้องหนึ่งที่ ผบ.ตร.อยู่ ส่วนความมั่นใจในการทำงานของพนักงานสอบสวนสน. เตาปูนหลังจากที่นำคำให้การมามอบให้ในวันนี้ ทนายตั้มก็ยังคงบอกว่า ไม่มั่นใจการทำงานของตำรวจ เพราะรู้มาว่าทางพนักงานสอบสวนของสน. เตาปูนต้องการส่งสำนวนไปให้หน่วยงานอื่นทำคดีแทน ทนายตั้มบอกว่า ตัวเองเตรียมเปิดขบวนการส่วยลำดับที่ 19 นอกเหนือจากส่วย 18 ธุรกิจที่เคยเปิดก่อนหน้านี้ ซึ่งส่วยชนิดนี้ตามปกติแล้วตำรวจทั่วไปจะไม่เก็บกัน ต้องเป็นตำรวจที่แย่จริงๆถึงเก็บส่วยนี้ได้แต่ตอนนี้ยังขอไม่ระบุรายละเอียดรอไว้เปิดหลังสงกรานต์ ส่วนกรณีที่ นายราเชน ตระกูลเวียง อดีตหัวหน้าพรรคทางเลือกใหม่ พร้อมกรรมการบริหารพรรค จัดเลี้ยงอาหารกลางวันตำรวจ สน.เตาปูน เพื่อเป็นขวัญและกำลังใจให้กับตำรวจในการทำคดี ทนายตั้มบอกว่าตัวเองไม่รู้เรื่องนี้มาก่อนแต่มองว่าก็เป็นเรื่องที่ดี การที่จะเลือกให้กำลังใจฝ่ายใดก็เป็นสิทธิ์ของบุคคลนั้นพร้อมบอกว่าตำรวจกินอิ่มแล้วก็ช่วยตั้งใจทำคดีให้ตัวเอง

สืบนครบาลรวบตาแสง คลังแสงเด็กช่างยึดอาวุธปืนไทยประดิษฐ์ 28 กระบอก รับทำส่งขายมา 1,000 กระบอก สืบนครบาลบุกทลายแหล่งผลิตปืนเถื่อนเจ้าใหญ่แห่งลุ่มน้ำบางปะกง รวบ 2 พี่น้องเมืองแปดริ้วเจ้าของเพจ “คลังแสงเด็กช่าง” ยึดปืนเถื่อน 28 กระบอก กระสุน 1,500 นัด ลำกล้องปืนรอขึ้นรูป 28 ลำ เตรียมพร้อมส่งจำหน่ายให้วัยรุ่นทั่วประเทศ พบ “ขายไปแล้วกว่าพันกระบอก”  จากการขยายผลซุ้มโจรทางเดินเสือ วัยรุ่นปล้น-ฆ่า-ยา ย่านหนองจอก กรุงเทพฯ ช่วงปราบปรามก่อนเทศกาลสงกรานต์ ตามนโยบายของ   พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ รรท. ผบ.ตร.  พล.ต.อ.ธนา ชูวงศ์ รอง ผบ.ตร. และ พล.ต.ท.สำราญ นวลมา ผู้ช่วย ผบ.ตร.               เมื่อวันที่ 10 เมษายน 2567 พล.ต.ท.ธิติ แสงสว่าง ผบช.น. พล.ต.ต.นพศิลป์ พูลสวัสดิ์ รอง ผบช.น.  สั่งการ พล.ต.ต.ธีรเดช ธรรมสุธีร์ ผบก.สส.บช.น. , พ.ต.อ.อิสเรศ ปาลาพงศ์ รอง ผบก.สส.บช.น. , พ.ต.อ.อรรชวศิษฏ์ ศรีบุณยมานนทน์ ผกก.สส.3 บก.สส.บช.น., พ.ต.ท.วิโรฒ จนุบุษย์ รอง ผกก.สส.3 บก.สส.บช.น. , พ.ต.ท.สัมโมท  อิงคยะกุล สว.กก.สส.3 บก.สส.ภ.2 , พ.ต.ต.ธัญพีรสิษฐ์ จุลพิภพ สว.สส.3 บก.สส.บช.น. , ร.ต.อ.ชัยยุทธ ศักดิ์เพชร , ร.ต.อ.ปรินทร์ ส่วนบุญ รอง สว.กก.สส.3 บก.สส.บช.น. ได้ร่วมกันสืบสวนติดตามจับกุมตัว       1.นายศราวุฒิ หรือเอ อายุ 23 ปี ภูมิลำเนา ต.เสม็ดใต้ อ.บางคล้า จ.ฉะเชิงเทรา ผู้ต้องหาตามหมายจับศาลจังหวัดฉะเชิงเทราที่ จ.91/2566 ลงวันที่ 15 มี.ค. 66 ข้อหา “เป็นทหารกองเกิน ซึ่งถูกกำหนดให้เข้ารับราชการทหารกองประจำการได้รับหมายนัดของนายอำเภอแล้วแต่ไม่มาตามนัด หลีกเลี่ยงหรือขัดขืนเพื่อจะไม่ให้เข้ารับราชการทหารกองประจำการ”         2.นายข (นามสมมติ) อายุ 17 ปี อยู่บ้านเลขที่ 68/1 ม.5 ต.เสม็ดใต้ อ.บางคล้า จ.ฉะเชิงเทรา       โดยทั้ง 2 คน ถูกแจ้งข้อกล่าวหาว่า “ร่วมกันมีอาวุธปืนและเครื่องกระสุนปืนไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาต , ร่วมกันทำ ประกอบ ซ่อมแซม เปลี่ยนลักษณะ สั่ง นำเข้า มี หรือจำหน่ายซึ่งอาวุธปืนหรือเครื่องกระสุนปืนสำหรับการค้า โดยไม่ได้รับอนุญาต”        ตรวจยึดของกลาง จำนวน 5 รายการ ประกอบด้วย        1.อาวุธปืนไทยประดิษฐ์ 28 กระบอก        2.กระสุนปืน 1,559 นัด        3.ลำกล้องปืนรอขึ้นรูป 28 ลำ        4.เข็มแทงชนวน 30 ชิ้น        5.อุปกรณ์ส่วนควบและอุปกรณ์การผลิตปืนอีกจำนวนมากโดย ตรวจค้นและจับกุมได้ที่ อาคารพาณิชย์ไม่มีเลขที่ ริมถนนเกษมราษฎร์ ต.บางพระ อ.เมือง จ.ฉะเชิงเทรา         พฤติการณ์กล่าวคือ “คลังแสงเด็กช่าง” เพจเฟสบุ๊คที่ลักลอบจำหน่ายอาวุธปืนเถื่อนจนเป็นที่เลื่องลือในวงการและเป็นขวัญใจนักช็อปปืนโดยเฉพาะกลุ่มนักเรียนอาชีวะ-ช่างกล โดยล่าสุดเจ้าหน้าที่ตำรวจชุดสืบสวนขยายผลจากการจับกุมซุ้มโจร “ทางเดินเสือ”…

หนุ่มร้องสายไหมต้องรอด เจอ ตร.อ้างหลับใน ขับรถพุ่งชนพังยับ คดีไม่คืบอ้างรถหลวงไม่มีประกันนายกฤษณพัทธ์ มีมงคล อายุ 22 ปี เข้าขอความช่วยเหลือกับเพจสายไหมต้องรอด หลังถูกตำรวจรายหนึ่งยศร้อยตำรวจเอก สภ.นครหลวง ขับรถพุ่งชนท้ายรถพ่วง ก่อนเสียหลักกระเด็นข้ามเลนมาชนกับรถยนต์ของตนจนได้รับความเสียหาย ผ่านมาเกือบ 1 เดือนคดีไม่คืบ นายกฤษณพัทธ์ ผู้เสียหาย เล่าว่า เมื่อวันที่ 15 มีนาคม เวลาประมาณตี 3 ตนขับรถมาตามเลนปกติจากเส้นนครหลวง กำลังมุ่งหน้าไปท่าเรือ ระหว่างนั้นเจอรถตำรวจขับสวนเลนมาด้วยความเร็ว ก่อนจะเสียหลักพุ่งชนท้ายรถพ่วงที่จอดอยู่ข้างทางกระเด็นมาชนบริเวณกระโปรงหน้ารถของตนจนพังเละเสียหาย โดยในรถวันเกิดเหตุมีตนและแฟนสาว พร้อมกับเด็กอีก 2 คน หนึ่งในนั้นคือลูกชายวัย 2 ขวบ ที่ได้รับบาดเจ็บที่บริเวณโหนกแก้ม หลังเกิดเหตุตำรวจคนดังกล่าวแจ้งว่าตัวเองกำลังจะขับรถกลับบ้าน แต่เผลอหลับในเลยเกิดอุบัติเหตุ แต่ผู้เสียหายได้ข้อมูลจากคนขับรถพ่วงที่ได้รับความเสียหายเช่นกันในวันนั้นว่า หลังเกิดเหตุเห็นตำรวจคนดังกล่าวโยนถุงสีดำลงป่าข้างทาง ซึ่งไม่ทราบว่าเป็นถุงอะไร อีกทั้งผู้เสียหายเองยังสังเกตุเห็นลักษณะของตำรวจคนดังกล่าวพูดจาไม่รู้เรื่อง เหมือนคนเมา      โดยเหตุการณ์ผ่านมาเกือบ 1 เดือนแล้วแต่คดียังไม่คืบ ตนลองติดต่อสอบถามความคืบหน้าไปยัง สภ.นครหลวง แล้วแต่ร้อยเวรกลับแจ้งว่า ติดต่อตำรวจรายนั้นไม่ได้เหมือนกัน โดยนายตำรวจรายนั้นแจ้งแค่ว่ารถตำรวจเป็นของหลวง ไม่มีประกัน ไม่มี พ.ร.บ. ถ้าอยากเรียกร้องค่าเสียหายต้องฟ้องเอาอย่างเดียว ซึ่งตนประกอบอาชีพขับรถส่งของ ทำให้ได้รับความเดือดร้อน ที่จะต้องหาเช่ารถมาใช้ชั่วคราวระหว่างนำรถเข้าไปซ่อมที่อู่ ตนจึงมาร้องขอความช่วยเหลือจากเพจสายไหมต้องรอดในวันนี้ เพราะต้องการให้ทางตำรวจคนดังกล่าวออกมาแสดงความรับผิดชอบชดใช้ค่าเสียหายที่เกิดขึ้น ด้านนายนิรันดร์ เกแง้ว ผู้ร่วมก่อตั้งเพจสายไหมต้องรอด เผยถึงกรณีนี้ว่า ทุกวันนี้ยานพาหนะของตำรวจที่ใช้ขับขี่ตามท้องถนน พอเวลาเกิดเหตุแบบนี้ขึ้นมาทางประชาชนผู้บริสุทธิ์ก็ต้องมารับผิดชอบเอง ไม่รู้ว่าใช้อภิสิทธิ์จากไหนมาใช้ เบื้องต้นได้ประสานไปยัง สภ.นครหลวง เพื่อติดตามคดีแล้วทราบว่าอยู่ระหว่างการดำเนินคดีกับรถพ่วงในวันเกิดเหตุ เพราะถือว่าจอดในพื้นที่ห้ามจอด ส่วนเหตุที่คดีล่าช้านั้นเป็นเพราะอยู่ระหว่างการรวบรวมความเสียหายของรถทั้ง 3 คันในวันเกิดเหตุ

‘ปุ๊ อัญชลี’นำอาสาศิลปินฯ ร่วม‘ป่อเต็กตึ๊ง’แจกจ่ายพัดลมคลายร้อนแก่ปชช.ที่สัญจรช่วงสงกรานต์ระหว่างวันที่ 9 - 11 เมษายน 2567 นายวิเชียร เตชะไพบูลย์ ประธานกรรมการมูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง  ห่วงใยประชาชน ที่สัญจร เดินทางกลับภูมิลำเนา-ท่องเที่ยวในช่วงเทศกาลสงกรานต์ ซึ่งเป็นการเดินทางในช่วงสภาพอากาศที่ค่อนข้างร้อน – ร้อนมาก รวมถึง ใส่ใจผู้สูงวัยในสถานสงเคราะห์ ฯลฯ จึงมอบหมายให้คณะกรรมการ นำโดย นางศิริกุล โอภาสวงศ์ กรรมการและเลขาธิการ จัดทีมฝ่ายสังคมสงเคราะห์ นำโดย นางศิริพร กระจ่างหล้า ผู้จัดการฝ่ายสังคมสงเคราะห์ และ นางสาวดวงชุตา ติยะพจนพรกุล ผู้ช่วยผู้จัดการฝ่ายสังคมสงเคราะห์ นำทีมแผนกสาธารณภัย และแผนกส่งเสริมการศึกษาและอาชีพ ลงพื้นที่สถานีขนส่งผู้โดยสารกรุงเทพฯ (จตุจักร) สถานีขนส่งผู้โดยสารกรุงเทพฯ (สายใต้ใหม่) และสถานีกลางกรุงเทพอภิวัฒน์ (บางซื่อ)  แจกจ่ายพัดลมมือถือให้กับประชาชนที่เดินทางสัญจร รวมจำนวน 3,000 ชุด คิดเป็นมูลค่า 295,750 บาท ในโครงการ “ป่อเต็กตึ๊ง คลายร้อน” ครั้งที่ 2  โดยมี อาสาสมัครศิลปิน นำโดย นางสาวอัญชลี จงคดีกิจ (ปุ๊-อัญชลี) นายปิยะวัฒน์ รัตนหรูวิจิตร (หรูหรา) นางสาวพัชรมัย บุญเลิศกุล (แพรว) และนางสาวสิฎฐ์ชอร แจเกตุ (คิส) ร่วมแจกจ่ายให้กับประชาชน ซึ่งบรรยากาศเป็นไปด้วยความอบอุ่น  พร้อมกันนี้ มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง ยังได้ลงพื้นที่มอบสิ่งของเครื่องใช้จำเป็น ในโครงการ “ป่อเต็กตึ๊ง สร้างสุข ใส่ใจ ผู้สูงวัย” ประจำปี 2567  ประกอบด้วย ผ้าอ้อมสำเร็จรูป แผ่นรองซับ หน้ากากอนามัย น้ำยาฆ่าเชื้อโรค ผงซักฟอก และแป้งเย็น ให้แก่ผู้สูงวัยในสถานคุ้มครองคนไร้ที่พึ่งนนทบุรี จ.นนทบุรี ศูนย์พัฒนาการจัดสวัสดิการสังคมผู้สูงอายุปทุมธานี จ.ปทุมธานี สถานคุ้มครองคนไร้ที่พึ่งชายธัญบุรี  จ.ปทุมธานี สถานคุ้มครองคนไร้ที่พึ่งหญิงธัญบุรี  จ.ปทุมธานี  สถานสงเคราะห์คนพิการและทุพพลภาพพระประแดง จ.สมุทรปราการ สถานสงเคราะห์คนชราเฉลิมราชกุมารี (หลวงพ่อเปิ่นอุปถัมภ์) จ.นครปฐม สถานสงเคราะห์คนชรานครปฐม จ.นครปฐม สถานคุ้มครองและพัฒนาคนพิการการุณยเวศม์ จ.ชลบุรี  สถานสงเคราะห์คนชราบ้านเขาบ่อแก้ว จ.นครสวรรค์ และ ศูนย์พัฒนาการจัดสวัสดิการสังคมผู้สูงอายุวาสนะเวศม์ จ.พระนครศรีอยุธยา รวม 10 แห่ง รวมมูลค่าทั้งสิ้น 728,500 บาท เพื่อเป็นขวัญและกำลังใจแก่ผู้สูงอายุ เนื่องในวันผู้สูงอายุแห่งชาติ ประจำปี 2567 โดยมี ผู้บริหารของสถานสงเคราะห์แต่ละแห่งเป็นผู้รับมอบ รวมมูลค่าการดำเนินการโครงการ “ป่อเต็กตึ๊ง คลายร้อน” และ โครงการ “ป่อเต็กตึ๊ง สร้างสุข ใส่ใจ ผู้สูงวัย” เนื่องในเทศกาลสงกรานต์ ประจำปี 2567 เป็นเงินทั้งสิ้น 1,024,250 (หนึ่งล้านสองหมื่นสี่พันสองร้อยห้าสิบบาทถ้วน)  เทศกาลสงกรานต์ปีนี้ มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง ขอให้ทุกท่านเดินทางขับขี่ปลอดภัย ท่องเที่ยวโดยสวัสดิภาพตลอดช่วงเทศกาล ทั้งนี้ หากท่านพบ ประสบเหตุฉุกเฉิน  ต้องการความช่วยเหลือ ท่านสามารถแจ้งเหตุผ่านสายด่วนและแอปพลิเคชัน ป่อเต็กตึ๊ง 1418 ทุกที่ ทั่วประเทศ  ดาวน์โหลดฟรีได้แล้ววันนี้ ทั้งในระบบ Play Store และ App Store ที่ www.1418help.com ติดตามข่าวสาร กิจกรรม การช่วยเหลือของมูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง ได้ที่เฟซบุ๊ก แฟนเพจ www.facebook.com/atpohtecktung